วันนี้ฉันสระผมตอนกลางคืน หลังจากไม่ได้สระเวลานี้มานานมากแล้ว เพราะการสระผมในช่วงค่ำนั้น ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง ไหนจะต้องมานั่งรอให้ผมแห้ง (พยายามเลี่ยงการใช้ไดร์เป่าผมไง) บางทีถ้าง่วงมากๆ ก็ไม่รงไม่รอมันแล้ว นอนไปทั้งผมเปียกแบบนั้นเลย ซึ่งแย่เอามากๆ เพราะตอนตื่นเช้ามานี่ สภาพหัวแทบจะดูไม่ได้ กระเจิดกระเจิง กู่ไม่กลับ
เพื่อตัดปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ฉันจึงชอบที่จะสระผมในช่วงเช้า จากนั้นก็ไดร์ให้ผมอยู่ทรง เตรียมตัวไปทำงานแบบผมนุ่มสลวยสวยเก๋ ยกเว้นวันไหนที่ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ อันนั้นต่อให้ไดร์ดีเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถสู้กับลมที่ตีในช่วงรถวิ่งได้ ลงจากรถพร้อมผมที่ชี้ฟูไปทุกทิศทาง
หากไม่จำเป็นจริงๆ ฉันมักจะสระผมเอง รู้สึกว่ามันสบาย ผ่อนคลายมากกว่าเวลาไปสระตามร้านทำผม สบายกว่ายังไง ก็ร้านทำผมบางร้าน พนักงานสระนี่มือหนักมากเลยนะ บางคนเหมือนจะใช้หัวลูกค้าเป็นที่ระบายความเครียด ใส่อารมณ์ด้วยการขยำ ขยี้หัวของลูกค้า (ผู้น่าสงสาร) กันอย่างเต็มที่
ฉันเคยไปสระผมที่ร้านหนึ่ง ตอนแรกนี่ดีใจมาก เพราะเจ้าของร้านเป็นคนสระให้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่พนักงานในร้าน แต่ความดีใจอยู่กับฉันได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ จากนั้นเปลี่ยนเป็นความทรมานและสงสารหนังหัวของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะคุณเจ้าของร้านแกสระไป ก็คุยกับลูกค้าคนอื่นไปด้วย คุยไปคุยมา เหมือนว่าแกจะไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่างหรือไม่ก็อินจัดล่ะมั้ง น้ำหนักมือที่ลงมาบนหัวฉันก็เลยหนักขึ้นตามความเข้มข้นของเรื่องราวที่คุย กว่าจะเดินออกจากร้าน หนังกำพร้าบนหัวฉันนี่คงแทบจะสูญพันธุ์ไปเลย
บางร้านเวลาที่พนักงานล้างน้ำตรงซอกหู บางทีก็เผลอทำน้ำเข้าไปในหู หรือบางทีคนสระคงเพลิดเพลินกับการขยี้ผม ด้วยความมันมือไปนิด มือที่เต็มไปด้วยฟองขาวๆ เลยปัดมาโดนจมูกฉัน ให้ความรู้สึกราวกับตัวเองเป็นก้อนเค้ก และคนสระผมเป็นคนแต่งหน้าเค้กที่กำลังเริ่มต้นปาดครีมลงบนตัวเค้กเลย (มันใช่ที่ไหนเล่าแก)
การสระผมที่พีคที่สุดของฉัน เกิดขึ้นนานมาแล้ว ตอนนั้นเข้าร้านไปกับน้า ขณะที่ฉันนอนให้ช่างทำการสระผม มือของช่างทำผมคนนั้นก็ปัดมาโดนตุ้มหูทองที่ฉันใส่อยู่ ทำให้ทั้งตุ้มและแป้นหลุดออกจากหู แต่เพียงไม่นาน ช่างคนนั้นก็ทำการใส่ตุ้มหูที่หลุดไปกลับเข้ามาในหูฉันเหมือนเดิม
ด้วยความที่ยังเด็ก ตอนนั้นเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดแค่ว่ามันหลุดไป แต่ช่างก็ใส่กลับมาให้เรียบร้อยแล้ว กลับมาถึงบ้าน พอจะอาบน้ำตอนเย็น ถอดตุ้มหูออก เฮ้ย! ทำไมมันไม่มีแป้นล่ะ แป้นหายไปไหน กว่าจะรู้ตัว แป้นมันคงกำลังไปผจญภัยอยู่ตามท่อระบายน้ำแล้วล่ะ
ตอนนั้นไม่กล้าบอกน้า กลัวจะโดนดุ เพราะเป็นตุ้มหูทองแท้ซะด้วย แน่นอนว่าหลังจากนั้น ฉันก็ไม่ไปเยือนร้านนั้นอีกเลย รู้สึกเคืองว่า ถ้าช่างคนนั้นบอกกับฉันตามตรงว่าหาแป้นที่หลุดไปไม่เจอแล้ว ยังจะดีซะกว่าการใส่แป้นมโนเพื่อหลอกเด็กอย่างฉัน นี่ฉันสามารถโกรธช่างย้อนหลังอีกครั้งได้มั้ย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าร้านทำผมทุกร้านจะมีแต่พนักงานมือหนักนะ หลายร้านที่ฉันเคยเข้าไปใช้บริการก็น่าประทับใจไม่น้อย แต่ก็เป็นธรรมดาแหละ เพราะร้านประเภทที่ว่านี้ จะเป็นร้านที่มีราคาค่าบริการค่อนข้างแพง ไม่ใช่ร้านใกล้บ้านที่เน้นเอาความสะดวกเข้าว่า
ฉันจะเลือกใช้บริการร้านแพงๆ แบบนี้ก็ต่อเมื่อนึกอยากดัดผมเท่านั้น เพราะการจะดัดผมให้ออกมาเป็นทรงที่ถูกใจ ต้องเลือกร้านที่ไว้ใจได้จริงๆ คือสามารถมั่นใจได้ว่าถ้าทำกับช่างคนนี้ ผมที่ดัดออกมาจะโอเคในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าดัดออกมาแล้ว พอเห็นหน้าตัวเองอีกครั้ง กลายเป็น ตึ๊ง ตึง ตึง ตึง ตะลึงตึงตึง!
ร้านที่หรูหราหมาเห่ามากสุดที่ฉันเคยเข้าใช้บริการ จะต้องโทรไปนัดจองล่วงหน้า พอถึงวันนัด เดินเข้าร้าน พนักงานก็จะมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พาเราไปนั่งรอ หาแม็กกาซีนเก๋ๆ ชิคๆ คูลๆ มาให้อ่าน ที่ดีสุดคือมีการถามว่าเราต้องการเครื่องดื่มอะไร กาแฟหรือชา ตอนนั้นจำได้ว่าเลือกชามะนาวไป
นั่งรอสักพัก น้องพนักงานเดินมาพร้อมถาดไม้ที่บรรจุกระป๋องสแตนเลสสีเงินวาววับ ในกระป๋องนั้นมีน้ำแข็งใส่ไว้ครึ่งหนึ่ง และยังมีขวดพลาสติกที่ภายในมีน้ำชามะนาวที่ฉันสั่งไว้เสียบอยู่ตรงกลางกระป๋อง ข้างๆ กระป๋องมีแก้วใสขนาดน่ารักที่มีน้ำแข็งใส่เตรียมพร้อมให้ลูกค้าดื่ม พร้อมหลอดที่มีกระดาษปิดกันฝุ่นอยู่ข้างบน
เมื่อได้สัมผัสการบริการระดับนั้น วูบหนึ่งเริ่มไม่แน่ใจว่านี่ตัวเราอยู่ในร้านทำผมหรือชายหาดริมทะเล แต่ก็นั่นแหละ ราคาค่าดัดผมครั้งนั้นก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ดังนั้น การบริการมันก็คงต้องดีตามราคาไปด้วย ถูกมั้ยเล่า
เสร็จจากการดัดผมครั้งนั้น เมื่อเดินออกจากร้าน รู้สึกเบาทั้งหัว (เพราะทรงผมเดิมของฉันก่อนหน้าที่จะดัด เป็นผมยาวตรงเกือบถึงกลางหลังเลย) และเบาทั้งกระเป๋าสตางค์ไปเลย แถมยังหิวไส้แทบขาด เพราะการดัดผมที่กินเวลายาวนาน โชคยังดีที่ตอนนั้นได้ร้านย่งหลีเป็นสถานที่พักพิง เป็นแหล่งเพิ่มพลังให้กับกระเพาะอาหารของฉัน
หลังจากดัดผมครั้งนั้น ฉันและร้านทำผมก็ห่างกันไปพักใหญ่ๆ เลยล่ะ เพราะผมที่ดัดจากร้านหรูแห่งนั้น ความหยิกเป็นลอนมันก็อยู่ได้ทนนานดีนะ แถมไม่ต้องเสียเวลามานั่งไดร์ตอนเช้าด้วย แค่สระแล้วรอให้แห้ง ผมก็ยังคงเป็นลอนอ่อนๆ ดูเป็นธรรมชาติ รู้ตัวอีกที ความยาวของผมที่เลยติ่งหูมาประมาณสามนิ้วในครั้งนั้น ก็แทบจะเกือบถึงกลางหลังอีกรอบ จนวันที่รู้สึกหนักหัวเพราะผมที่เริ่มจะยาวเกินไป ฉันจึงเดินเข้าร้านทำผมแถวบ้าน จัดการหั่นผมให้สั้นเป็นทรงนักเรียนไปซะเลย
ฝีมือช่างทำผมที่ร้านแถวบ้าน เรียกว่าไม่น่าเกลียดนะ ยังพอรับได้ แต่ที่พิเศษสำหรับการแวะตัดผมที่ร้านใกล้บ้านในครั้งนั้น คือตอนที่ช่างที่เป็นคนตัดผมให้ฉัน แนะนำว่าผมกำลังยาวได้ที่ ควรตัดแล้วเอาไปบริจาคดีกว่า ตัดผมด้วย ได้บุญด้วย ดีเนอะ แต่แหม...จะให้ช่างส่งผมของตัวเองไปบริจาคให้ มันก็กระไรอยู่ ฉันเลยบอกว่าจะเอาผมที่ตัดแล้วกลับบ้าน เพื่อส่งไปบริจาคเอง
คุณช่างก็จัดการมัดผมที่ตัด พอการทำผมในครั้งนั้นเสร็จเรียบร้อย ก็ยื่นจุกผมเปียกๆ ที่มัดไว้ก่อนหน้านั้นมาให้ฉัน โดยไม่มีถุงพลาสติกหรืออะไรมาใส่ผมกระจุกนั้นเลยทั้งสิ้น แล้วไงเล่า ฉันก็ต้องเดินออกจากร้าน พร้อมถือจุกผมเปียกของตัวเองไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วเดินกลับมาบ้าน มันก็จะดูคล้ายคนเสียสตินิดๆ เนอะ ก็คนปกติที่ไหนเค้าจะถือผมไว้ในมือแบบนั้นกันล่ะ ประหลาดดีแท้
นี่ผมที่สระไว้แห้งหมาดๆ แล้ว อีกสักพักก็คงจะแห้งสนิท และเมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้เข้านอน พร้อมผมหอมๆ และหนังหัวที่น่าจะแฮปปี้ เพราะยังอยู่ดีมีสุขไงล่ะ
Source
ภาพประกอบ: Photo by Nick Demou from Pexels
Comments
Post a Comment