จากบทความเมื่อวานนี้ที่ได้มีการทิ้งท้ายในแบบที่อาจจะสร้างความสงสัยให้กับผู้อ่าน วันนี้ฉันจะมาเฉลยให้ทราบถึงที่มาของบทความเรื่อง ตัวจริง...ของเธอ อืม...มานึกดูดีๆ แล้ว หากจะพูดให้ถูกต้องไปเลย คงจะต้องรวมไปถึงบทความเรื่อง คู่ชีวิต ที่ได้เขียนไว้เมื่อวานซืนด้วยสินะ
เข้าเรื่องเลยดีกว่า สำหรับที่มาของบทความทั้งสองชิ้นก่อนหน้านี้ มาจากการที่ฉันได้ดูรายการ The Mask Line Thai ย้อนหลังใน Ep. 11 ซึ่งจุดเริ่มต้นที่แท้จริงนั้น เป็นเพราะฉันต้องการฟังเพลง ก้อนหินกับนาฬิกา ของพี่เบิร์ด ธงไชย ตอนที่กำลังคลิกหาเพลงนี้เพื่อฟังใน YouTube ทำให้ได้เจอกับเวอร์ชันที่หน้ากากกระติ๊บเป็นคนร้องไว้ในรอบแรกของการแข่งขันในกลุ่มไม้ตรี (นี่ก็แอบกรี๊ด แบ่งใจให้น้องกระติ๊บด้วยนะ)
พอดูกระติ๊บในรอบแรก เกิดหลงเสน่ห์และน้ำเสียงนุ่มๆ ของน้องติ๊บ ทำให้ต้องตามไปดูต่อในรอบ semi-final ของกลุ่มไม้ตรี ซึ่งน้องติ๊บก็นำเพลง ทางของฝุ่นของ Atom ชนกันต์มาขับร้องได้อย่างน่ารัก น่าเอ็นดูเช่นเคย
จากการตามดูการแข่งในรอบนี้ ทำให้ฉันได้เห็นฝีไม้ลายมือของหน้ากากยักษ์เขียว-ยักษ์แดง คู่หูดูโอที่เป็นผู้เข้าแข่งขันในกลุ่มเดียวกับน้องติ๊บ โดยเขียว-แดง ไฟจราจร เลือกบทเพลง ภาพจำ ของป๊อบ ปองกูลมาขับร้อง ครั้งแรกที่ได้ฟัง ต้องบอกว่าประทับใจไปกับการประสานเสียงที่แสนจะลงตัว และเข้ากันได้ดีของทั้งคู่มาก
จุดที่ฉันชอบมากในการแสดงครั้งนี้ คือตอนที่ยักษ์แดงร้องท่อนที่ว่า “ไม่เคยมีใครมาแทนที่เธอในใจฉานนนนน” แบบขึ้นเสียงสูงมากๆ ให้คนดูได้อู้หู โอ้โห ไปกับพลังเสียง จากนั้นยักษ์เขียวก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าคนดูมากยิ่งขึ้นไปอีกกับท่อนเพลงต่อมาที่ว่า “ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวด” อ้าว! เอ๊ะ! จากป๊อบ ปองกูล กลายร่างมาเป็น Palmy ซะแล้ว โอ...อะไรมันจะพีคได้ขนาดนี้
ต่อมาเมื่อยักษ์แดงร้องเพลงภาพจำในท่อนขึ้นเสียงสูงท่อนนั้นจบ ก็หันมาทำหน้าที่ประสานเสียงให้กับยักษ์เขียวทันที ฉันชอบจังหวะนั้นจริงๆ มันเป็นอะไรที่เทพมาก ยิ่งได้เห็นการที่ทั้งเขียวและแดง ต้องร้องเพลงยืนพื้นของตัวเอง สลับกันไปมา ยิ่งประทับใจเข้าไปอีก มันยากนะท่านผู้อ่าน นึกภาพเอาว่าถ้าเป็นตัวเราที่ต้องไปร้องเพลงกับเพื่อน โดยที่เพื่อนร้องเพลงหนึ่ง และขณะเดียวกันนั้น ตัวเราเองก็ร้องอีกเพลงหนึ่งควบคู่กันไปด้วย ใครสมาธิหลุดนี่ อาจทำเพลงเป๋ไปได้ง่ายๆ เลยนะ
แต่เมื่อฟังการร้องภาพจำ+ความเจ็บปวดจากยักษ์เขียว-ยักษ์แดงแล้ว สามารถรู้สึกได้เลยว่า ทั้งคู่สมาธิดีมาก เป็นการร้องที่มีความชัดเจน ร้องเต็มเสียง หนักแน่น มีจุดยืนกับเพลงของตัวเอง โดยที่ไม่มีใครเด่นหรือด้อยไปกว่าใคร ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความสมดุล เพราะมีการแบ่งช่วงการร้องและให้น้ำหนักแต่ละคนแบบเท่าๆ กัน
เมื่อถึงท่อนภาพจำ ซึ่งเป็นเพลงของยักษ์แดง ยักษ์เขียวก็คอยช่วยประสาน และเมื่อยักษ์เขียวร้องความเจ็บปวด ยักษ์แดงก็สลับมาประสาน มันดูรักกันดีจัง ยิ่งตอนช่วงท้ายของเพลงนี้ เขียวและแดงต่างก็ต้องโยนหน้าที่ประสานเสียงให้กับอีกฝ่ายทิ้งไป แล้วหันมาร้องท่อนฮุคในเพลงของตัวเองไปด้วยกัน จุดนั้นยิ่งเห็นชัดเลยว่า สองคนนี้สามารถรวมสองเพลงเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างกลมกลืน สวยงาม ประทับใจ
ถึงตรงนี้ ต้องขอปรบมือดังๆ ให้กับ โปรดิวเซอร์อย่างหนึ่ง จักรวาร เสาธงยุติธรรม ยิ่งเมื่อเป็นรายการ The Mask Line Thai ด้วยแล้ว ชื่อกับธีมของรายการก็บอกชัดเจนว่าต้องการให้ออกมาในรูปแบบไทย นั่นจึงทำให้มีการผสมผสานเสียงดนตรีไทยเข้ากับทำนองดนตรีสมัยใหม่ ทำให้ผู้ฟังได้ยินเสียงระนาด ซอ ขลุ่ย เคล้ากันไปกับเสียงเปียโน กีตาร์ เบส และกลอง เพลงที่ได้ออกมา จึงมีความละมุนละไม ไพเราะ และอูมามิมาก (แต่อูมามิ ไม่ใช่คำไทยนี่แก...ไม่เป็นไรหรอกน่า ลืมๆ มันซะ) ปรบมือให้คุณหนึ่งกันค่ะ ท่านผู้อ่าน
เพราะติดใจในการแสดงของยักษ์เขียว-ยักษ์แดงในรอบ semi-final ทำให้จากนั้น ฉันต้องไปติดตามคู่นี้ต่อในรอบ final group ที่เป็นรอบชิงแชมป์ของกลุ่มไม้ตรี ซึ่งเขียว-แดงได้เลือกร้องเพลง รักปาฏิหาริย์
ก่อนหน้านี้ เมื่อฉันได้ยินเพลงนี้ของ Lula มันก็พอฟังได้อยู่นะ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าชอบเป็นพิเศษ แต่เมื่อยักษ์เขียว-ยักษ์แดงเริ่มร้องเพลงนี้เท่านั้นแหละ เล่นเอาฉันเคลิ้มไปกับเสียงประสานอันอบอุ่น ละมุน ชวนฝัน ฟังแล้วอยากจะฟังซ้ำไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้เพลงจบเลย มันนุ่มมาก เหมือนกำลังลอยอยู่บนปุยเมฆฟูฟ่องสีเขียวและสีแดง (ต้องเปลี่ยนจากสีขาว เพื่อให้เข้ากับตัวหน้ากากไง)
ไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านได้ติดตามรายการ The Mask Line Thai กันบ้างหรือไม่ แต่เชื่อว่าบางท่านอาจจะพอเดากันได้แล้วว่ายักษ์หนึ่งในสองตนนั้นเป็นใครกัน และนั่นก็น่าจะทำให้เดากันต่อไปได้ไม่ยากว่า ยักษ์อีกตนที่เหลือน่าจะเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ เลยคือ นี่แหละสองหน้ากากที่ได้ใจฉันไปเต็มๆ เสียงดีกันทั้งคู่ ดูแล้วลงตัวและรู้สึกเป็นบุญหูมากที่ได้ฟัง
ฉันเองก็ไม่อยากจะ spoil และทำให้คนที่ยังไม่ได้ดู หรือยังไม่รู้ว่าเขียว-แดงเป็นใคร เกิดเสียอารมณ์และหมดสนุกไปกับการที่จะได้คาดเดาต่อไปหรอกนะ แต่ยังไงก็ขออภัยเอาไว้ตรงบรรทัดนี้เลยก็แล้วกัน หากการพร่ำพรรณนาของฉันมันอาจจะชัดเจนจนทำให้ผู้อ่านบางคนเริ่มระแคะระคาย และสามารถกระชากหน้ากากของยักษ์เขียว-ยักษ์แดงออกมาได้
อ่ะ แต่ช้าแต่ เพื่อเป็นการไถ่โทษ (อันไม่ได้ตั้งใจ) อยากให้ท่านผู้อ่านเปลี่ยนเป้าหมายไปเดากันดีกว่าว่าน้องติ๊บคนนั้นน่ะคือใคร รับรองว่าถ้าได้รู้ตัวตนแท้จริงภายใต้หน้ากากกระติ๊บ จะต้องมีอึ้ง ประหลาดใจ ทึ่ง จากนั้นก็กรี๊ดไปหลายตลบ ไม่ต่างจากผู้ชมที่กรี๊ดกร๊าดกันจนห้องส่งแทบแตก ชะอุ๊ย! ไม่เอาน่าแก เผลอหลุดปากไปอีกแระ ความยักษ์ยังไม่ทันหาย ความติ๊บจะเข้ามาแทรกแล้วเหรอ
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ฉันจึงต้องขออำลาไปเพียงเท่านี้ และปล่อยให้ผู้อ่านสนุกสนานกับการเดาต่อไป มันน่าจะดีกว่านะ (แว่วเสียงคนอ่านตะโกนตอบกลับมาว่า มันดีกว่าอยู่แล้วว้อย)
Source
ภาพประกอบ: Photo by Jaouad Elkhamlichi from Pexels
Comments
Post a Comment