ครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นนักศึกษาปริญญาโท ฉันเคยถามเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งว่า รู้จัก Big Bang หรือไม่ ขณะที่ในใจของฉันนั้น ก็แอบคาดเดาไปว่า เพื่อนคนนั้นน่าจะรู้จัก และเผลอๆ อาจจะเป็นแฟนตัวยงเลยก็เป็นได้
ทว่า เพื่อนกลับทำให้ฉันตะลึง ด้วยคำตอบที่เป็นคำถามกลับมาที่ฉันว่า “Big Bang Theory” เหรอ ได้ยินแล้ว เล่นเอาอึ้งและมานั่งนึกว่า เอ...หน้าตาอย่างฉันนี่ มันดูเป็นพวกเนิร์ดขนาดที่จะหยิบยกเรื่องจุดกำเนิดแห่งจักรวาลมาคุยกับคนอื่นเชียวหรือ (หน้าแกดูเอ๋อมากกว่าเนิร์ดนะ)
เมื่อหายจากอาการอึ้ง ฉันจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้เพื่อนคนนั้น จากนั้นก็พยายามหาทางเปลี่ยนเรื่องคุยแบบเนียนๆ ขณะเดียวกันก็นึกละอายใจเล็กๆกับความสาระน้อยของตัวเอง (จะบอกว่าไม่มีสาระ ก็ยังแอบเกรงใจตัวเองอยู่หน่อยๆ) ว่าแต่เวลาแกคุยกับคนอื่น เคยคุยอะไรที่มีสาระด้วยหรือ (โอ๊ะ! เจ็บ)
เวลาก็ล่วงเลยมานมนานจนป่านนี้แล้ว ฉันจะไม่บอกอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนผู้นั้นหรอกนะว่า Big Bang ที่ว่าน่ะ ไม่ใช่ทฤษฎีอะไรทั้งนั้นหรอก แต่เป็นวงบอยแบนด์จากประเทศเกาหลีที่ฉัน (แอบ) เป็นติ่งอยู่
ผู้ชักนำให้ฉันรู้จักวงดนตรีวงนี้ คือ รุ่นน้องปริญญาตรีคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนร่วมห้องพักของฉัน รุ่นน้องคนนี้ ชื่นชอบวงดนตรีจากประเทศเกาหลีมาก และ Big Bang ก็เป็นหนึ่งในวงโปรดของรุ่นน้อง
หลายครั้งที่ฉันมึนเบลอจากการเรียนอันแสนหนักหน่วง เมื่อเดินกลับถึงห้องพัก ทันทีที่เปิดประตูห้อง เสียงเพลงเกาหลีจากหลากหลายวงก็ลอยมาเข้าหู บางวันรุ่นน้องคึกจัด ก็จะยืนเต้นประกอบเพลงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นั่นแหละ การเต้นของรุ่นน้อง แสนจะจริงจัง ประหนึ่งว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องทำการประกวดชิงชัยเอาถ้วยรางวัล ท่าเต้นต้องเป๊ะ ตามแบบฉบับใน MV ราวกับเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงก็ไม่ปาน
หลายครั้งที่ฉันมึนเบลอจากการเรียนอันแสนหนักหน่วง เมื่อเดินกลับถึงห้องพัก ทันทีที่เปิดประตูห้อง เสียงเพลงเกาหลีจากหลากหลายวงก็ลอยมาเข้าหู บางวันรุ่นน้องคึกจัด ก็จะยืนเต้นประกอบเพลงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นั่นแหละ การเต้นของรุ่นน้อง แสนจะจริงจัง ประหนึ่งว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องทำการประกวดชิงชัยเอาถ้วยรางวัล ท่าเต้นต้องเป๊ะ ตามแบบฉบับใน MV ราวกับเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงก็ไม่ปาน
นานวันเข้า ฉันก็เริ่มออสโมซิสความเป็นติ่ง Big Bang มาจากรุ่นน้อง (ทำไมแกถึงไม่ออสโมซิสความรู้จากหนังสือที่ต้องอ่านเพื่อเตรียมสอบบ้างนะ) ได้รู้จักหน้าตาของสมาชิกแต่ละคนในวง และเริ่มฮัมเพลงของวงนี้ได้หลายเพลงอยู่เหมือนกัน
ในบรรดาเพลงทั้งหมดของวงนี้ Sunset Glow เป็นเพลงที่ฉันโปรดปรานที่สุด ด้วยจังหวะสนุกสนาน พร้อมท่าเต้นที่สามารถเต้นตามได้ไม่ยากนัก (ใช่แล้วค่ะ เจ้ารุ่นน้องผู้นี้ ได้ลากฉันไปร่วมด้วยช่วยเต้น โดยไม่ถามความสมัครใจอะไรทั้งสิ้น) เรียกว่าเพลงเปิดเมื่อไหร่ ต้องจัดแขนขา ท่าทางให้พร้อมสำหรับการวาดลวดลายให้ดูโปรมากสุด
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังมโน (แบบผิดๆ) ว่าตัวเองเป็น T.O.P และรุ่นน้องที่สวมบทบาทเป็น G-Dragon กำลังดวลท่อนแร็ปของเพลงนี้กันอย่างดุเดือดอยู่ในลิฟต์ เพื่อจะกลับห้องพักของพวกเราที่อยู่ชั้นสี่ ยังไม่ทันจะถึงจุดหมายปลายทาง ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแบบไม่ให้เราทั้งคู่ได้ตั้งตัวที่ชั้นสอง พร้อมผู้โดยสารที่มีสีหน้าอึ้งๆ จากการได้ยินเสียงร้องทรมานคนฟังของเราทั้งคู่ จำได้ว่าฉันต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ รอจนพวกเราเข้ามาในห้องพักของตัวเอง ถึงได้ปล่อยก๊ากที่อั้นไว้ออกไปแบบเต็มที่ 555
หรือจะเป็นครั้งที่เราทั้งคู่ร้องเพลงนี้ ขณะกำลังข้ามถนน ณ ย่านใจกลางเมือง ท่ามกลางรถที่จอดรอสัญญาณไฟเขียว ภาพที่คนขับและผู้โดยสาร (แสนโชคร้าย) เหล่านั้นได้เห็น คือ มีอีเอเชียหัวดำ บ้าๆ บอๆ สองคนที่กระโดดโลดเต้นไปมาตรงหน้า โดยไม่ได้กังวลเลยว่าสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามจะหมดเวลาลงเมื่อไหร่ เพราะมันมัวแต่อินกับการเต้นแร้งเต้นกาอยู่กลางถนนนั่นเอง
ความสนุกของเพลงนี้ อยู่ตรงที่ฉันสามารถมั่วนิ่มไปกับเพลงได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่รู้ภาษาเกาหลี ตรงไหนที่ร้องไม่ได้ ฉันก็ร้องมั่วๆ มันไปซะเลย หลังจากท่อนที่ G-Dragon ร้องว่า “It’s Big Bang (wassup)” ฉันก็สวมบทบาท T.O.P แหกปากร้องไปเลย “คือเทนอาชีนาโยว อีจานาโยว”...แล้วก็ดำน้ำ...ท่อนต่อไปว่าไงนะ อะไรโย่ๆ นี่แหละ ฟังไม่ทัน ร้องๆ ไปเหอะ จากนั้นก็โก๋แก่ (เอิ่ม...มันใช่หรา) แล้วก็โย่ๆ ปิดท้าย ประโยคต่อไปไม่ใช่คิวฉัน ดีใจจัง ได้พักหายใจแป๊บนึง จะถึงคิวฉันร้องอีกทีก็ตอนที่ร้องว่า “โนมาเซก็เข้ามาหมอนี่ apple โจ๋กะมาโจ๋กันสิมาโจ้” (ตอนนั้น แน่ใจเหลือเกินว่ามันร้องอะไรเทือกนี้แหละ)
คุณผู้อ่าน เห็นมั้ยล่ะว่ามันสนุกออก ฉันเปล่งเสียงร้องไป ไอ้รุ่นน้องมันก็ขำไป พร้อมกับพยายามทักท้วงว่าไม่ใช่นะพี่ ตรงนั้น มันไม่ได้ร้องว่า apple นะ มันเป็นภาษาเกาหลี เออ! ช่างมันเหอะ ไม่มีใครมาสนใจฟังหรอก เราควรโฟกัสที่ท่าเต้นกันก่อนมะ ว่าแล้วก็หันไปสนใจการเต้นกันต่อ
Sunset Glow จึงเป็นบทเพลงพิเศษในใจฉัน ช่วยให้ฉันได้ระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานในตอนนั้น แม้การเรียนจะหนักหน่วง การสอบจะโหดร้ายกับฉันแค่ไหน ฉันยังอุ่นใจได้ว่า เมื่อเปิดประตูห้องพัก เจ้ารุ่นน้อง พร้อมบรรดาเพลงจากแดนกิมจิ และห้องนั่งเล่นโล่งๆ ต่างพากันอ้าแขนต้อนรับ รอเวลาที่ฉันจะไปร่วมแจมเสมอ
Source
Comments
Post a Comment