Material Girl | Masquerade | Matador


ก่อนการมาถึงของ Britney Spears เจ้าหญิงเพลงป็อป แน่นอนว่าโลกจะต้องรู้จักและจดจำ ราชินีแห่งเพลงป็อปอย่าง Madonna เจ้าของบทเพลงดังมากมายอย่างเช่น Like a Virgin, Like a Prayer, Frozen, Music รวมไปถึงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Evita อย่าง You Must Love Me และ Don’t Cry for Me Argentina เป็นต้น (โอย...แค่พิมพ์รายชื่อเพลงก็เหนื่อยแล้ว)

สิ่งที่ฉันรู้สึกได้เสมอ เมื่อได้ยินได้ฟังใครก็ตาม นำบทเพลงของเจ้าแม่เพลงป็อปอย่างเธอผู้นี้มาร้อง มันจะให้อารมณ์ประหนึ่งผู้ร้องกำลังสวมบทบาทเป็น Madonna อย่างไรอย่างนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เพื่อนสมัยมัธยมคนหนึ่งของฉัน ครวญเพลง Like a Virgin มันก็อินกับบทเพลง จนหน้าตา ท่าทางของมันออกมาแบบเว่อร์วังอลังการ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมโต๊ะได้เป็นอย่างดี

หรือจะเป็นครั้งที่ฉันบังเอิญได้ยินบทเพลงอย่าง Like a Prayer ที่ถูกนำมาร้องสดโดยวงประสานเสียง เพียงได้ยินประโยคขึ้นต้น “Life is a mystery, everyone must stand alone.” แค่นั้นแหละ ขนแขนก็พากันสแตนอัพ จากนั้นฉันก็แอบร้องแบบเบาๆ ตามไปด้วยว่า “I hear you call my name and it feels like home.” เป็นการร้องสดที่ฉันประทับใจ ทำให้หลังจากนั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งบทเพลงของเจ๊แม่ที่ฉันชื่นชอบ

Material Girl ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงสนุก เมื่อฉันร้องเพลงนี้ขึ้นมาครั้งใด จะเข้าใจความรู้สึกของเจ้าเพื่อนที่ร้อง Like a Virgin ในเวอร์ชันอลังการงานสร้างได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อได้ร้องเพลงของ Madonna ผู้ร้องจะเกิดอินเนอร์ขึ้นมาเอง ดังนั้น กิริยา ท่าทางที่ราวกับเจ๊แม่มาเข้าสิงร่าง จะตามมาโดยอัตโนมัติ (เสียงจะเพราะหรือไม่ ไม่เป็นไร ท่าทางต้องได้ ว่างั้น)

ในบรรดาเพลงทั้งหมดของ Madonna ฉันชื่นชอบเพลงช้าอย่าง Take a Bow มากที่สุด ท่วงทำนองช้าๆ ของเพลง บวกกับเนื้อร้องที่ชวนให้ผู้ฟังปวดใจตามไปด้วย โดยการเปรียบความรักดุจดั่งการเล่นละคร ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันด้วยความความเสแสร้ง เรียกว่าร้องมาก็โดนใจทุกประโยค อย่างเช่นประโยคนี้ “Say your lines, but do you feel them. Do you mean what you say when there's no one around watching you, watching me…” โอย...มันบาดใจ

โดยเพลงนี้ได้นักร้องแนว R&B อย่าง Babyface มาร่วมแต่งเนื้อร้องและเป็น producer ร่วมกับ Madonna (ใครที่ไม่คุ้นกับ Babyface แนะนำให้ลองไปฟังเพลงดังของเขาอย่าง Everytime I Close My Eyes ดูกันนะ) ซึ่งฉันคาดว่า เพราะได้ Babyface มาร่วมงานด้วยนี่แหละ เพลงนี้เลยมีกลิ่นอายของความเป็น R&B สูง ฟังแล้วมันจะซึ้งกึ่งเศร้า

MV เพลงนี้ที่กำกับโดย Michael Haussman (คนเดียวกับที่กำกับเพลง SexyBack ของ Justin Timberlake) ก็ช่วยส่งให้ Take a Bow เป็นเพลงที่น่าจดจำมากยิ่งขึ้น โดยตัวเรื่องราวใน MV เจ๊แม่รับบทเป็นคนรักของนักสู้วัวกระทิงหน้าตาดี (หุ่นก็ดีนะ) ส่วนผู้มารับบทบาทพระเอก คือ Emilio Muñoz ชายหนุ่มชาวสเปน หน้าเข้ม ตาคม ที่นอกจากเขาผู้นี้จะเป็นนักแสดงแล้ว ยังเป็น matador ตัวจริงอีกด้วย (นี่แหละ ของแท้ ไม่พึ่งสแตนด์อิน)

ฟังเพลงไป และยังได้เห็นเสื้อผ้าอันแพรวพราวของมาทาดอร์อีกด้วย ฉันชอบช่วงต้นของเพลง ในฉากที่พระเอกค่อยๆ หมุนตัวเข้าไปหาผู้ช่วย เพื่อให้แต่งเครื่องแบบ  traje de luces ซึ่งเป็นชุดที่นักสู้วัวกระทิงจะต้องสวมใส่ ดูแล้วฟินไปกับหุ่นของพระเอก (เอ๊ย! ไม่ใช่ๆ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจกับความจัดเต็มของชุดนี้ต่างหาก)  เสื้อผ้าของเจ๊แม่ก็สวย ไม่มีที่ติ เป็น MV ที่ดูแล้วได้กำไร

เพลงจบ อยากไปสเปนขึ้นมาทันใด หา! ว่าไงนะ Lights are low, the curtains down แล้วเหรอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันจึงจำเป็นจะต้องจบการเพ้อฝันประจำวันเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ Daydreaming is over…say goodbye

Source
ภาพประกอบ: Photo by rawpixel.com from Pexels

Comments