บ้านฉันเป็นพวกไม่ค่อยชอบไปเที่ยวไหนช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นปีใหม่ หรือสงกรานต์ ส่วนมากจะอยู่บ้าน ออกไปกินข้าวข้างนอกเป็นครั้งคราว เพื่อตื่นตาตื่นใจไปกับถนนโล่งๆ ในกรุงเทพที่นานๆ ครั้งจึงจะมีให้เห็น
เหตุผลของการใช้ชีวิตอยู่บ้านในช่วงเทศกาล ก็ธรรมดามาก ไม่อยากจะต้องไปแย่งกันชม แย่งกันเที่ยว แย่งกันกินกับคนที่ออกไปเที่ยวอีกมากมายล้นหลาม ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บ้านของฉันเคยยกโขยงไปเที่ยวต่างจังหวัดตอนหน้าเทศกาลนี่แหละ พอเข้าร้านอาหารเพื่อจะกินอาหารเที่ยง ก็เจอกับบรรดาลูกค้าโต๊ะอื่นๆ เต็มไปหมด ขนาดการสั่งอาหารแบบง่ายๆ อย่างไข่เจียวยังต้องรอเป็นชั่วโมงเลย
จากวิกฤตการณ์ไข่เจียวหนึ่งชั่วโมง ทำให้หลังจากนั้น เหล่าสมาชิกในบ้านก็ไม่อยากจะต้องไปนั่งเซ็งแบบนั้นกันอีก บ้านฉันเลยหันมามีความสุขกับภาพทางด่วนโล่งๆ ในกรุงเทพที่ให้ความรู้สึกของคำว่า “ทางด่วน” อย่างแท้จริง ขับรถไปถนนเส้นไหนในกรุงเทพ ก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง กับการใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็สามารถไปถึงที่หมายโดยง่ายดาย ไม่ต้องฝ่าฟันกับรถติดเป็นทิวแถวเช่นเวลาปกติ
เช่นเดียวกันกับทุกปี ในปีนี้บ้านฉันก็ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติประจำบ้าน ไม่ว่าจะทะเล ภูเขา แม่น้ำ ถนนคนเดิน ตลาดน้ำ หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉันก็ไม่ได้ไปทั้งนั้นแหละ แล้วแกได้ไปไหนบ้างล่ะเนี่ย
ห้างสรรพสินค้าคือคำตอบ แต่ แต่ แต่...ท่าทางว่าปีนี้น่าจะมีชาวกรุงจำนวนมากที่คิดเช่นเดียวกับบ้านฉัน เข้าห้างคนก็ยังเยอะ จะกินข้าวร้านไหน ก็ต้องไปลงชื่อจองคิว ถึงขนาดที่ฉันคิดว่าจะตัดใจแล้วยอมเดินเข้าร้านที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ เนื่องจากไม่อยากรอแล้ว โชคยังดีที่ไม่ต้องเอาลิ้นไปเสี่ยงขนาดนั้น เพราะร้านที่ไปลงชื่อจองไว้ ไม่ต้องรอนานชั่วกัปชั่วกัลป์แบบที่คิดไว้ในใจ
ร้านอาหารเที่ยงของฉันวันนี้ เป็นร้านอาหารใต้ซึ่งเกือบทุกคนที่บ้านยังไม่เคยลองทานมาก่อน เมื่อความหิวเล่นงาน ฉันเลยไม่ได้ใช้เวลาในการพิจารณารายการอาหารในเมนูมากนัก เห็นอะไรที่พอจะกินได้ ก็สั่งไปเลย เพื่อความรวดเร็วในการได้มาซึ่งอาหาร
สั่งกับข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็สั่งข้าวสวยคนละจาน ความเร็วในการทำอาหารของร้านนี้ จัดว่าเร็วใช้ได้ นั่งคุยกันไปสักพัก อาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ในระหว่างที่รอข้าว พวกเราต่างก็จกกินกันคนละคำสองคำแก้หิว
ทว่า พอข้าวมาเสิร์ฟเท่านั้น อยากจะร้องไห้ด้วยความตื้นตัน เห็นแล้วรู้สึกจุกขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้กิน ก็ทำไมปริมาณข้าวหนึ่งจานของร้านนี้ อย่างกับว่าให้คนสองคนกิน แต่เมื่อสั่งไปแล้ว ก็ยังคงคิดเข้าข้างตัวเองว่า เอาน่า น่าจะกินหมดแหละ
ท้ายที่สุด ฉันสามารถทำได้อย่างที่คิดไว้ แต่จบลงด้วยความรู้สึกทรมานเล็กๆ ปนกับความจุกเยอะๆ ต้องบอกลาของหวานที่คิดว่าจะเดินไปกินต่อ (สิ่งที่น่าเศร้ากว่าความจุกของตัวเอง คือการไม่ได้กินของหวานเนี่ยแหละ) เมื่อกินข้าวเสร็จ ไปเดินซื้อของกันต่ออีกนิดหน่อยให้อาหารย่อยไปบ้าง หลังจากนั้นก็กลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันได้ยินเสียงคุณน้าของฉัน พูดขึ้นมาว่าเดี๋ยวเย็นนี้ค่อยไปกินอาหารญี่ปุ่นกัน โดยขณะที่กำลังขับรถกลับนั้น ก็เป็นเวลา 4 โมงเย็นเข้าไปแล้ว โอย...อาหารเที่ยงยังไม่ทันจะย่อยหมด นี่จะมีอาหารเย็นมาต่อคิวรออีกแล้วเรอะ
นาทีนั้น เสียงเพลง “วันใหม่” ที่ขับร้องโดยคุณรัดเกล้า อามระดิษ ก็ลอยมาปลอบใจ “อย่าจุกกับอาหารเที่ยงเก่าๆ อย่าไปคิดถึงข้าวสวยเก่าๆ อย่าให้อาหารใต้ร้านเก่าๆ มันทำร้าย เปิดกระเพาะของเธอค้นหา เกี๊ยวซ่าและข้าวปั้นหน้าปล๊า...(ท่อนนี้ต้องร้องเสียงสูงค้างไว้แบบคุณรัดเกล้า) ให้เวลารักษาความจุกในท้อง เพื่อกินใหม่” อืม...ได้ยินแบบนี้แล้ว ค่อยมีกำลังใจสู้กับความจุกหน่อย (จาก “วันใหม่” กลายเป็น “มื้อใหม่” คุณรัดเกล้าได้ยิน คงแทบยกมือกุมขมับด้วยความรันทดใจไปกับฉัน)
โชคยังดีที่เย็นนี้แถวบ้านฉันมีเมฆครึ้ม และมีเค้าว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า เช่นเดียวกันกับที่เคยตกไปแล้วเมื่อวานนี้ ทำให้ความคิดที่ว่าจะออกไปทานอาหารเย็นกันข้างนอก เป็นอันตกไป (ว่าแต่นี่มันฤดูอะไรกันแน่ ทำไมฝนถึงยังตกตอนเดือนธันวาคมเนี่ย)
ระหว่างที่ฉันหยิบไม้กวาดและที่โกยผงเพื่อไปกวาดใบไม้ที่สนามหน้าบ้าน ท้องของฉันก็ยังคงอึดอัดจากอาหารใต้ที่กินเข้าไปตอนเที่ยง เดินกวาดใบไม้ไปพร้อมความรู้สึกจุก จนกระทั่งฝนตกลงมา และตอนนี้ก็เลิกตกไปแล้ว อาหารใต้มื้อเที่ยงก็ยังคงนอนยิ้มเผล่อยู่ในท้อง
เป็นการจบเสาร์สุดท้ายของปี ด้วยความรู้สึก อิ่ม จุก อืด อย่างแท้จริง พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่บ้านจะพากันออกเที่ยวอีกครั้ง ก่อนจะอยู่กับบ้านในวันสิ้นปี เมื่อพรุ่งนี้มาถึง ฉัน (ได้แต่) หวังว่าจะเป็นวันอาทิตย์สิ้นปีที่อิ่มแบบพอดีๆ เอาแบบอร่อย แต่ยังคงสบายพุง มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ให้ข้าวสวยทำนายกัน
Source
ภาพประกอบ: Photo by Suzy Hazelwood from Pexels
Comments
Post a Comment