ช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา ฉันและเพื่อนสนิทจะมีร้านส้มตำที่พวกเราปวารณาตัวเป็นลูกค้าขาประจำ เลิกเรียนเมื่อไหร่ หิวข้าวขึ้นมา แต่นึกไม่ออกว่าจะกินอะไรกันดี ข้าวผัดกะเพราก็ไม่ใช่ตัวเลือกของเราทั้งคู่
ท่ามกลางร้านอาหารมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่ในละแวกมหาวิทยาลัย ใจและกระเพาะอาหารของฉัน กลับโบยบินไปหาร้านส้มตำร้านนี้แทบทุกครั้ง
แต่ก็น่าตลกอยู่เหมือนกัน เพราะเมนูประจำที่พวกเราสั่ง กลับไม่มีส้มตำอยู่เลย เนื่องจากฉันไม่ได้ชอบกินส้มตำ และฉันเดาว่าเพื่อนมันคงกลัวว่า ถ้ามันสั่งมาโดยไม่มีคนช่วยกิน อาจจะกินคนเดียวไม่หมด ก็เลยหันไปสั่งเมนูอื่นๆ แทนดีกว่า
เมนูประจำของฉันและเพื่อน ได้แก่ ข้าวโพดทอด ลาบหมู ยำหมูย่าง ไปทุกครั้ง จะต้องมีสามเมนูนี้ยืนพื้นเสมอ ส่วนอย่างอื่นก็ค่อยว่ากันทีหลัง อูย...นี่ขนาดกำลังพิมพ์อยู่นะ แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว ฮือๆ อยากกิน
ร้านนี้มีพ่อครัวเป็นคนปรุงอาหารทั้งหมด ส่วนผู้เป็นภรรยา มีหน้าที่รับออเดอร์จากลูกค้า ทั้งสองคนเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่เป็นคนจีนที่ทำอาหารออกมารสชาติจัดจ้านมาก ยำหมูย่างที่รสชาติของเนื้อหมูจะค่อนไปทางหวานๆ นิดหน่อย เข้ากันได้ดีกับน้ำยำรสเปรี้ยว ส่วนลาบหมูจะยิ่งเด็ด ถ้าจกข้าวเหนียวมาจิ้มๆ ให้น้ำปรุงของลาบแทรกเข้าไปในตัวข้าว โอ๊ย! เปรี้ยวปากเหลือหลาย
ข้าวโพดทอดของร้านนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทอดมาได้กำลังดี สีเหลืองทองสวย หน้าตาน่ากิน เมื่อคุณพี่ภรรยาเจ้าของร้านนำมาวางที่โต๊ะตอนกำลังร้อนๆ ให้ฉันได้จิ้มเข้าปาก มัน...ดีมาก ดีมากจริงๆ ทั้งกรอบ ทั้งหอม กินไปกินมา จานยังไม่ทันหายร้อน ก้มดูอีกที ว้า! หมดซะแล้ว ได้แต่สบตากันกับเพื่อนด้วยความเสียดาย
ร้านส้มตำร้านนี้เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักศึกษา และคนทำงานในละแวกนั้นเป็นอย่างดี ขนาดอาจารย์ฝรั่งที่สอนภาษาอังกฤษ ยังเป็นหนึ่งในลูกค้าขาประจำเลย ภาพอาจารย์กำลังนั่งกินส้มตำ พร้อมไก่ย่างและเป๊ปซี่หนึ่งขวดวางไว้ข้างๆ (แก้เผ็ด) เป็นภาพที่เห็นจนชินตา
ฉันนึกอยากรู้ขึ้นมาว่าใครกันหนอที่เป็นผู้ชักชวนอาจารย์ท่านนั้นเข้าสู่วงการส้มตำ ไก่ย่าง ทุกครั้งที่เจอ แกก็จะสั่งเมนูเดิมๆ คิดว่าแกคงจะชอบกินมาก และเป็นฝรั่งที่กินอาหารรสเผ็ดได้พอสมควร เพราะจากที่แอบสังเกต (เผือกก็บอกมาเหอะ) ดูแกจะไม่มีอาการแสบร้อนเวลาที่กินเข้าไปสักเท่าไหร่
ร้านส้มตำเจ้านี้ เป็นดั่งอู่ข้าวอู่น้ำของพวกเราเหล่านักศึกษา เป็นสถานที่ให้พวกเราได้ฝากท้อง (เดี๋ยว! ไม่ใช่ผดุงครรภ์นะแก) ในยามหิวโหย ฉันและเพื่อนก็เป็นหนึ่งในนักศึกษามากมายหลายรุ่น หลายชีวิตที่เป็นขาประจำของร้านนี้จนกระทั่งถึงวันที่พวกเราเรียนจบ
เมื่อถึงวัยทำงาน มีบ้างบางครั้งที่คิดถึงร้านนี้ ก็ยังได้กลับไปกินบ้าง ไปเยือนเมื่อใด รสชาติถูกปาก คุ้นลิ้น ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เสมือนเพื่อนผู้รู้ใจ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่อันอบอุ่นและทำให้ฉันสุขใจทุกครั้งที่ได้กลับไปหา
น่าเสียดายเหลือเกินที่หลังจากนั้นไม่นาน ทางร้านได้ตัดสินใจหยุดขาย เนื่องจากเจ้าของร้านจะต้องช่วยกันเลี้ยงหลาน เลยทำให้ไม่มีเวลามาทำอาหารขายอีกแล้ว และนั่นก็เป็นเรื่องน่าเศร้าต่อกระเพาะอาหารของฉันเหลือเกิน ไม่มีแล้วข้าวโพดทอด ซาโยนาระลาบหมู ลาก่อนยำหมูย่าง
จำได้ว่าตอนที่รู้ข่าวใหม่ๆ ฉันถึงกับโทรไปตัดพ้อ ระบายความทุกข์ใจกับเพื่อนสนิทที่เคยไปกินด้วยกันเป็นประจำ เมื่อมันรู้ข่าว อาการของมันก็ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไหร่ ในวันนั้น พวกเราจึงได้แต่เฝ้าโอดครวญถึงร้านนี้ และบรรดาอาหารรสชาติเยี่ยมยอดด้วยความเสียดาย
ทุกวันนี้ หากมีโอกาสได้กลับไปเยือนแถวมหาวิทยาลัย ฉันมักจะอดไม่ได้ที่จะต้องคิดถึงร้านส้มตำเจ้าประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ความโหยหาอย่างแรงได้บังเกิดกับฉัน ทำให้ขาของฉันก้าวเดินไปยังซอยร้านนี้โดยอัตโนมัติ รู้ทั้งรู้แหละนะว่าร้านปิดไปนานมากแล้ว แต่ขอเถอะ ขอแค่ได้เห็นประตูหน้าร้านให้หายคิดถึง ให้อุ่นใจสักนิด แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว
Source
ภาพประกอบ: Photo by Kaique Rocha from Pexels
Comments
Post a Comment