คำภาษาญี่ปุ่นข้างต้นนี้ อ่านว่า tsundoku เป็นคำที่เหมาะกับมนุษย์เช่นฉันมาก สำหรับคนที่สงสัยว่าคำนี้ หมายความว่าอย่างไร ขออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ เป็นภาษาไทยว่า มันคือการซื้อหนังสือมาดอง โดยที่ไม่ได้อ่าน
ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองมีอาการที่ว่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกที หนังสือที่ไปขนซื้อมา ทั้งจากงานสัปดาห์หนังสือ ร้านหนังสือทั่วไป และร้านหนังสือออนไลน์ จากหนึ่งกอง สองกอง ก็เริ่มลุกลาม กินพื้นที่เต็มตู้หนังสือที่มีอยู่ทั้งสามตู้
ช่วงหลังยิ่งอาการหนัก เพราะกองทัพหนังสือเริ่มลุกลามไปยังตู้เสื้อผ้า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วิกฤตมาก เพราะดันเอาหนังสือไปกองไว้หน้ากองเสื้อผ้าที่พับไว้ในตู้ ซื้อหนังสือเมื่อไหร่ ก็เอามาใส่ตู้ไว้ก่อน คิดแต่ว่าเดี๋ยวค่อยมาจัดก็ได้ มันไม่เยอะหรอก แล้วเป็นไง เปิดตู้อีกที จากหนังสือสองสามกองเตี้ยๆ ไฉนจึงกลายเป็นกองพะเนินเทินทึกได้เล่า เห็นแล้วได้แต่ยกมือทาบอกด้วยความตะลึง (อย่ากระแดะ แกไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “อก”)
จากที่ยืนตะลึงอยู่พักหนึ่ง ความละเหี่ยใจก็เริ่มมาเยือน พร้อมกับคิดว่า กองหนังสือเหล่านั้น ราวกับเจ้าแท่งพลาสติกหลากสีสันจากเกมเตตริส (Tetris) ถ้าเปรียบหนังสือที่ฉันมีอยู่ในตู้กับเจ้าแท่งพลาสติกที่ค่อยๆ หล่นลงมาให้ฉันจัดเรียงในเกม ฉันว่าตอนนี้ฉันน่าจะกำลังอยู่ในขั้นจัดเรียงไม่ทัน ใกล้จะตายด้วยความอนาถจากการโดนเหล่าหนังสือหล่นทับ Game Over สินะ
ในเกมเราสามารถกดปุ่ม restart เพื่อเริ่มเกมใหม่ แต่กับกองหนังสือมหึมาของฉัน มันคงไม่สามารถหายไปในพริบตาเช่นเดียวกับเจ้าแท่งพลาสติกพวกนั้น ฉันจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตา ยอมรับชะตากรรม พยายามขยับขยาย ลองจัดวางใหม่ เพื่อให้สามารถมีพื้นที่เก็บหนังสือได้เพิ่มขึ้น
จากการไม่มองการณ์ไกลของฉันในครั้งนั้น ทำให้ได้แต่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา เพราะเสื้อผ้าที่เหลือถูกบดบังจากกองทัพหนังสือแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน วันไหนเกิดนึกอยากใส่เสื้อตัวที่อยู่หลังกองหนังสือขึ้นมา ก็ทำได้เพียงตัดใจแล้วหันกลับไปใส่เสื้อซ้ำต่อไป จนวันที่เริ่มจะทนไม่ไหว ก็ค่อยหยิบกองหนังสือออกมาจัดใหม่ (เรียกว่าหนังสือสำคัญกว่าเสื้อผ้า)
การซื้อหนังสือมาดอง บางครั้งก็ให้อารมณ์คล้ายกับการหิ้วกระเป๋าสะพายใบโตๆ นั่นแหละ ยิ่งกระเป๋ามีพื้นที่มากเท่าไหร่ ของที่ฉันเอามาใส่ในกระเป๋าจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุด เริ่มจะรับน้ำหนักไม่ไหว ต้องเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าใบเล็ก ดัดนิสัยเสียของตัวเอง (แล้วมันได้ผลมั้ย ก็ไม่นะ)
ช่วงงานสัปดาห์หนังสือ ยิ่งเป็นช่วงที่อาการของโรคกำเริบหนักมาก หันไปทางไหนก็เห็นแต่บรรดาหนังสือออกใหม่ ราวกับพวกมันกำลังกวักมือและวิงวอนแบบไร้เสียง ให้ฉันซื้อพวกมันกลับไปบ้าน เล่มนั้นก็ดี เล่มนี้ก็แจ่ม เอาไงดี ซื้อมาก่อนน่าจะดีกว่า ถือคติมีไว้ให้อุ่นใจ อยากอ่านเมื่อไหร่ก็อ่านได้
สำนวน “Don’t judge a book by its cover” เห็นจะไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ เพราะฉันนี่แหละที่ตกเป็นทาสของหนังสือหน้าปกสวยๆ ถ้าเล่มไหนที่มีหน้าปกเป็นสีที่ฉันชอบ ฉันจะไม่ต้องคิดนาน ซื้อเลย บางเล่มมีหน้าปกเป็นภาพวาดน่ารัก เล่มนี้ก็ต้องซื้อ หรือปกที่ดีไซน์เรียบๆ แต่สวย ก็มักจะได้ตังค์จากฉันไปโดยง่ายดาย
อาการที่ฉันเป็นอยู่นี้ ต้องได้รับการบำบัดหรือไม่ บางครั้งก็สงสัยว่าตัวเองปกติดีรึป่าว ทำไมเวลาเห็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่เพิ่งวางแผงในร้านหนังสือ ถึงต้องตื่นเต้นทุกครั้งไป ฉันว่าบางที ฉันก็อาการหนักนะ เวลาเดินเข้าร้านหนังสือแล้วเห็นหนังสือที่ทางร้านจัดวางเอาไว้อย่างสวยงาม ก็มักจะห้ามใจไม่อยู่ เป็นต้องเดินเข้าไปหยิบจับ แบบขอเปิดดูหน่อยนึงก็ยังดี ทั้งๆ ที่หนังสือเล่มที่เข้าไปจับก็กองอยู่ที่บ้านตัวเองแล้ว แหม...ของมันต้องได้ลูบคลำไง จิตใจจึงจะแจ่มใส
บางครั้งหนังสือเล่มที่ฉันมีอยู่แล้ว ก็ถูกพิมพ์ใหม่และเปลี่ยนหน้าปก เมื่อนั้นแหละ ความลำบากใจจะมาเยือน และต้องต่อสู้กับความอยากได้เล่มใหม่ ได้แต่เถียงกับตัวเองไปมา อย่าซื้อเลย แกก็มีอยู่แล้วนะ อือ...แต่ว่าเล่มที่พิมพ์ใหม่มันก็สวยนะ แล้วก็มาลงเอยที่การมีหนังสือเรื่องเดียวกัน แต่ปกคนละแบบ อาการแทรกซ้อนเช่นนี้ ได้เกิดกับฉันหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
จะแก้ปัญหาด้วยการอ่านหนังสือแบบ e-book ตัวฉันก็ไม่ถนัด ยังคงคุ้นชินกับการอ่านจากเล่มมากกว่า มีความสุขกับการได้พลิกหน้ากระดาษ พร้อมสูดกลิ่นกระดาษที่กำลังอ่านไปด้วย เป็นความรู้สึกที่จับต้องได้ (บางครั้งเรียกว่าแบก น่าจะเหมาะกว่า เพราะหนังสือที่อ่านบางเล่มก็หนามาก)
คิดแล้วก็อยากมีห้องสมุดในบ้านจริงๆ มันคงจะดีนะ ถ้าได้เดินไปตามชั้นหนังสือที่วางเรียงเป็นแถวยาว ได้มองหนังสือที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบตามลำดับตัวอักษร เอ...หรือว่าจะจัดเรียงตามสีดี แถวนี้สีฟ้า แถวหน้าสีเขียว แถวถัดไปสีเหลือง สุขเหลือจะกล่าว (แม้จะเป็นแค่การสุขในมโนของฉันก็ตามที)
Source
ภาพประกอบ: Photo by Emily from Pexels
Source
ภาพประกอบ: Photo by Emily from Pexels
Comments
Post a Comment