ก็ว่าจะไม่...


แต่ไหนแต่ไรมา ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องน้ำหนักตัวเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กจนโต คำที่ได้ยินจนชินหูจากครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จัก มักจะหนีไม่พ้นคำพูดที่ว่า “ทำไมผอมจัง” แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเป็นกังวลใจแต่อย่างใดกับความผอมแห้งแรงน้อยของตัวเอง

อาจเป็นเพราะระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีก็เป็นได้ เวลาฉันกินอะไรเข้าไป อาหารจึงถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็ว ฉันจึงไม่ต้องคอยกลุ้มใจกับการกินอาหาร ไม่ต้องคอยจำกัดการกินในแต่ละวันของตัวเอง

สมัยยังวัยรุ่น ฉันเคยกินข้าวผัดจานเปลสำหรับ 2-3 คนได้หมดเพียงคนเดียว เคยสั่งพิซซ่าถาดใหญ่แป้งหนานุ่ม มานั่งโซ้ยที่บ้านโดยไม่แบ่งใคร (แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครช่วยกินด้วยแหละ) เคยนั่งกินข้าวขาหมู แบบสั่งแยกหมูพิเศษ จานใหญ่สุด เพิ่มไข่ด้วยนะ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่น สั่งแบบธรรมดาที่เป็นขาหมูใส่มาในข้าวเลย แล้วเพื่อนก็ได้แต่นั่งตาปริบๆ มองฉันกินขาหมูจานใหญ่ด้วยความพิศวง

หรือจะเป็นตอนที่ฉันไปนั่งทานขนมกับเพื่อนที่ทำงานในตอนเย็นหลังเลิกงาน เราทั้งคู่ต่างสั่งขนมของใครของมัน ของฉันเป็น matcha toast (ขนาดปกตินะ ไม่ใช่ baby size) เพราะมั่นใจว่าตัวเองสามารถละเลียดกินจนหมดได้ ขณะที่เพื่อนผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เมื่อเห็นฉันสั่งเช่นนั้น ก็สั่งตามบ้าง อนิจจา! เพื่อนผู้น่าสงสาร ช่วงแรกๆ ก็ดูมีความสุขดีอยู่หรอก ยังไม่ทันหมดครึ่งก้อน หน้าตาเริ่มไม่แฮปปี้ และในที่สุดก็ฝืนกินให้หมดไม่ได้ ขณะที่ฉันฟาดเรียบ ไม่เหลือแม้กระทั่งวิปครีม

ในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าฉันจะกินเข้าไปเยอะแค่ไหน น้ำหนักของฉันก็ไม่เคยเกิน 45 กิโลกรัม มันจะวิ่งวนเวียนอยู่ตรง 43-44 กก. ตลอดมา ไม่เคยแตะไปที่เลข 5 ให้ฉันได้ตื่นตกใจเลยสักครั้งเดียว

เวลาผ่านไป ฉันก็ยังคงสไตล์การกินอาหารในแบบของฉันมาตลอด อยากกินอะไรก็กิน และห่างหายจากการชั่งน้ำหนักตัวเองมาเป็นเวลานานมาก จนวันหนึ่ง ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดกับฉันมาก่อน มันก็เกิดขึ้น นั่นคือ...กางเกงคับ แต่ครั้งแรกที่รู้สึก ก็ไม่ได้ทำให้ฉันกังวลใจนัก กลับคิดไปว่า สงสัยเพิ่งกินข้าวอิ่ม มันก็ต้องคับเป็นธรรมดา

จนเมื่อเร็วๆ นี้ ฉันได้รับคำทักทายจากญาติและคนรู้จัก ภายในเวลาใกล้เคียงกัน ในขณะที่ญาติทักฉันว่า “ดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ” ส่วนคนรู้จัก ยิงมาตรงๆ เลยว่า “ช่วงนี้ดูอ้วนขึ้น” ประกอบกับความรู้สึกที่ว่าทำไมกางเกงมัน (ยังคง) คับจัง ก็ไม่หายไป ตอนนั้นแหละ จึงสมควรแก่เวลา ฤกษ์งามยามดี เดินไปที่ตาชั่ง เพื่อพิสูจน์ไปเลย

เหอะๆ ขณะที่ฉันเฝ้ามองตัวเลขที่วิ่งหมุนไปเรื่อย ราวกับเลขมิเตอร์เวลาเติมน้ำมันรถ จนมันมาหยุดอยู่ที่ 49.1 โอ! วินาทีแรกที่ได้เห็น แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง คิดได้แค่ว่า เป็นไปไม่ได้หรอก เครื่องชั่งคงเสีย อะไรทำนองนี้ จากนั้นก็ลงมายืนกับพื้นในอาการสับสน (ปนหวาดหวั่นเล็กๆ) รอสักพักค่อยก้าวขึ้นไปใหม่ เมื่อชั่งครั้งที่สอง ตัวเลข 49.1 ก็ยังคงตามมาทักทาย อืม...แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกให้เลขเปลี่ยนไปได้หรือเปล่า

49.1 เป็นตัวเลขที่สร้างความเจ็บปวดให้ฉัน หลังจากนั้น ได้แต่คร่ำครวญ โหยหวนกับตัวเองว่า นี่มันไม่จริงใช่มั้ย แต่ (ลึกๆ) ในใจฉันนั้น ก็เริ่มคิดถึงบรรดาอาหารที่ตัวเองกินไป พร้อมกับใคร่ครวญไปด้วยว่า หรือมันจะเป็นเพราะเหล่าพัฟและพายลดราคาที่ฉันกินเข้าไปอย่างไม่บันยะบันยัง เอ...หรือว่าจะเป็นก๋วยจั๊บหมูกรอบที่สั่งแบบพิเศษในวันนั้น เอ๊ะ! แล้วน้ำผลไม้ที่ต้องดื่มทุกวันล่ะ มันจะมีส่วนรับผิดชอบกับ 49.1 ด้วยมั้ยนะ

เล่นเอาวิตกจริตไปพอสมควร วันต่อมา เมื่อขึ้นชั่งอีกครั้ง น้ำหนักมาหยุดอยู่ที่ 48 นิดๆ เริ่มหายใจคล่องขึ้น แต่สักพัก ก็กลับมาสติแตกอีกครั้งว่า จาก 44 ไป 49.1 นี่ดูมาไกลมากนะ (ฉันมาไกล มาไกลเหลือเกิน) ตั้ง 5 กิโลเชียว ทำไงดี จะเลิกกินเหรอ แล้วจะเลิกอะไรล่ะ มันก็อร่อยไปหมดนะ คิดไม่ตก

อย่างไรก็ตาม นับแต่วันนั้น ฉันเลยตัดสินใจงดข้าวเย็นไปพักหนึ่ง เพื่อต้องการดูว่า การอดอาหารจะช่วยลดส่วนเกินในชีวิตออกไปได้หรือไม่ เมินมื้อเย็นไปสองสามวัน ก็ได้รับตัวเลข 47 หน่อยๆ มาให้ชื่นใจ แต่...เย็นวันนั้น น้องก็ได้ซื้อโดนัทมาที่บ้าน พร้อมบอกว่าช่วงนี้ที่ร้านมีโปรโมชัน ซื้อ 6 ชิ้น แถม 6 ชิ้น (เป็นโปรที่ล่อตาล่อใจลูกค้ามาก)

หลังจากเฝ้าอดทนไม่กินมื้อเย็นมาช่วงหนึ่ง (สั้นมากนะแก) ในวันนั้นฉันเลยเลือกโดนัทหนึ่งชิ้นเป็นรางวัลให้ตัวเอง สองวันต่อมา ฉันเดินผ่านร้านโดนัทที่น้องเคยซื้อมาฝาก สองจิตสองใจอยู่นาน แต่ในที่สุด ก็พ่ายแพ้ต่อเสียงร่ำร้องในหัวใจ (และกระเพาะอาหาร) ตัดสินใจเดินเข้าร้าน พร้อมกับหยิบถาดและที่คีบมาเลือกโดนัทที่ถูกใจ

จากที่คิดในตอนเดินเข้าร้านว่าจะหยิบมาแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น กลายเป็นการเดินไปหาพนักงานคิดเงินพร้อมโดนัท 4 ชิ้นในถาดของตัวเอง คุณน้องพนักงานก็ช่างแสนดี พากันบอกว่า พี่ไม่เลือกซื้ออีกล่ะคะ ตอนนี้ที่พี่เลือกมาทั้งหมด 4 ชิ้น นี่ก็ 145 บาทเข้าไปแล้ว ช่วงนี้ทางร้านเรามีโปรโมชันพิเศษ 12 ชิ้น 144 บาท

แหม...ไม่ต้องบอกก็รู้สินะว่าทาสการตลาดอย่างฉัน เลือกเส้นทางไหน ก็ต้องหยิบถาดและที่คีบ เพื่อกลับไปเลือกเพิ่มอีก 8 ชิ้นแน่นอน แต่น่าจะเป็นโชคดีของฉันอยู่บ้าง ขณะที่กำลังเล็งชิ้นที่ถูกใจเพื่อให้ได้ครบ 12 ชิ้นตามเงื่อนไขโปรโมชัน มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งมาเสนอว่า มาแบ่งกันคนละ 6 ชิ้นดีกว่า เพราะคุณพี่ท่านนี้ ก็ไม่อยากจะซื้อถึง 12 ชิ้น พี่เค้าแค่อยากมาซื้อให้ลูกกินคนละชิ้นเท่านั้น (ดีใจเนอะ ได้เจอเพื่อนทาสการตลาดเหมือนกัน)

โอ๊ย! สุขใดจะเท่ากับการได้โดนัท 6 ชิ้นในราคาแค่ 72 บาท (หารกันกับคุณพี่ จ่ายคนละครึ่งไง) เมื่อเทียบกับโดนัทที่ฉันเลือกมาครั้งแรก 4 ชิ้น 145 บาท มันคุ้มกว่ากันเห็นๆ วันนั้นฉันเลยเดินกลับบ้าน พร้อมความรู้สึกชนะและกล่องโดนัท 6 ชิ้นที่ถือไว้ในมือ กลับบ้านมาก็ยังไม่หายดีใจ นั่งกินแบบลืมตัว รู้ตัวอีกที ชิ้นที่ 6 ก็กำลังจะหมดแล้ว (แกแน่ใจนะว่านั่นกระเพาะคน)

เป็นไงล่ะ ก็ว่าจะไม่กินข้าวเย็น สู้อดข้าวมาได้ตั้งหลายเพลา สุดท้ายก็ถูกโดนัทตีแตกพ่าย พร้อมตัวเลข 48.4 เป็นสิ่งย้ำเตือนให้ได้ช้ำใจ อ้าว! แล้วนั่นเสียงใครกันที่มาสะอื้นกระซิกๆ แบบรับไม่ได้

ครั้งต่อไปที่เดินผ่านร้านโดนัท ฉันคงต้องนึกถึงพี่ตูน Bodyslam และเพลง วิชาตัวเบา พร้อมกับร้องเพลงนี้เตือนตัวเองในใจว่า “ยังคงมีรักให้เธอเหมือนเดิม แต่จะรักเธอด้วยความเข้าใจ ให้มันเป็นเพียงความผูกพัน แม้จะไม่เป็นอย่างฝัน...ไม่เป็นไร” จากนั้นก็ได้แต่มองโดนัทในร้านอย่างอาลัยอาวรณ์ และเดินคอตกจากไปแบบเศร้าสร้อย

“ปวดร้าวเพียงใด เจ็บช้ำแค่ไหน ปล่อยโดนัท...ปะ ปะ ไป”

Source
ภาพประกอบ: Photo by Snapwire from Pexels

Comments