OneRepublic เป็นวงดนตรีป็อปร็อกจากสหรัฐอเมริกา เพลงแรกของพวกเขาที่ฉันได้ฟัง คือ เพลงดังอย่าง Apologize ที่เป็นการ featuring กับ Timbaland เป็นเพลงที่ฟังแล้วติดหูได้ง่าย ขึ้นเพลงมาก็ได้ยินเสียง “เอ๊ะ เอ๊ะ เอ...” ราวกับการรำพึงรำพันขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งฟังแล้วฉันก็เกิดความสงสัยขึ้นมาจริงๆ น่ะแหละว่าเพลงนี้จะไปต่อทางไหนกัน
นี่คือเพลงเปิดตัวจากอัลบั้ม Dreaming Out Loud ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของพวกเขาที่ปล่อยออกมาให้ผู้ชมได้ฟังกัน ฟังไปเรื่อยๆ มันก็เพลินดีอยู่นะ แบบว่าฟังจบ ฉันก็ครวญต่อคนเดียวได้เลยว่า “It’s too late to apologize.” แล้วก็คอรัสต่อด้วยเสียงสูงๆ แบบใส่อารมณ์ว่า “It’s too late...” มันคือประโยคเด่นในเพลงไง ให้ใครก็ตามมาฟังเพลงนี้ เมื่อฟังจบ แน่ใจว่าอย่างน้อยก็คงจะร้องเพลงนี้ได้หนึ่งประโยคเหมือนกันกับฉัน
นอกจาก Apologize ซึ่งเป็นเพลงที่ทำให้วงนี้ได้ฉายแสงเปล่งประกายแล้ว เพลงลำดับที่สองในอัลบั้มนี้อย่าง Stop and Stare ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ฉันชอบ MV ของเพลงนี้ เป็นอะไรที่ดูแล้วก็ยังคงมึนงงและไม่เข้าใจมาจนถึงตอนนี้ ช่วงแรกดูแล้วหลอนเล็กๆ ต่อมาก็สับสนว่าเรื่องราวมันยังไงกันนะ คือดูตั้งแต่ต้นเพลงจนกระทั่งจบเพลง ก็ยังคงไม่เห็นทางสว่าง พร้อมกับคิดในใจ หรือเราจะพลาดรายละเอียดตอนไหนไปหว่า ทำไมดูแล้วไม่รู้เรื่อง ช่างมันเหอะเนอะ ฟังแต่เพลงไปละกัน
Waking Up อัลบั้มที่สองของพวกเขา ก็มีเพลงฮิตอย่าง All the Right Moves ที่ใน MV มาในธีมงานเต้นรำสวมหน้ากาก ได้เห็นผู้คนแต่งกายด้วยชุดสวยงาม หรือเพลงอย่าง Secrets ที่มีการนำบทประพันธ์ของ Bach อย่าง Prelude, Cello Suite No. 1 in G major, BWV 1007 มาใช้ประกอบในช่วงต้นของเพลงด้วย
ขออนุญาตขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทประพันธ์ชิ้นนี้ของ Bach สักหน่อย โดย Cello Suite No. 1 นี้ ถือเป็น movement แรกจากจำนวนทั้งหมด 6 บทเพลง (BWV 1007-1012) และน่าจะเป็น movement ที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมากที่สุด
Cello Suite No. 1 ยังเป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง The Soloist ซึ่งบอกเรื่องราวของคอลัมนิสต์คนหนึ่งที่ได้พบกับนักเชลโลผู้มีพรสวรรค์แต่ป่วยเป็นโรคจิตเภท (Shrizophrenia) ต่อมาคอลัมนิสต์คนนี้ จึงนำเรื่องราวของนักดนตรีผู้นี้ไปเขียนบทความ
ฉันยังจำได้ดีว่า ตอนที่ตนเองได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ ตาดูเรื่องราวไป หูก็ได้ยินเพลงของ Bach ที่ถูกเปิดประกอบภาพยนตร์ไปด้วย และน้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความตื้นตัน ยิ่งได้รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ยิ่งประทับใจมาก
โดยผู้มารับบท Steve Lopez คอลัมนิสต์ในเรื่อง ก็คือ Robert Downey, Jr. พระเอกตาสวยประจำใจฉัน ส่วน Jamie Foxx รับบทเป็น Nathaniel Ayers นักเชลโลที่เคยเป็นนักเรียนดนตรีจากหนึ่งในสถาบันดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลกอย่าง Juilliard (ใครที่อยากฟังบทประพันธ์อันมีชื่อเสียงชิ้นนี้ของ Bach ขอแนะนำให้ไปดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ ฟังแล้วมันอิน ใครไม่อิน ฉันอินคนเดียวก็ได้)
นอกเรื่องไปซะยาว เพื่อไม่ให้เสียเวลาผู้อ่าน (แกทำเค้าเสียเวลาไปนานแล้ว เพิ่งจะรู้สึกเรอะ) กลับมาที่ OneRepublic ต่อกันเถอะ และแล้ว...ก็มาถึงเพลงที่ทำให้ OneRepublic ไต่อันดับเข้ามาเป็นหนึ่งในวงโปรดในใจฉันอย่างรวดเร็ว
เพลงนั้นคือเพลง Good Life ที่ถูกนำมาประกอบภาพยนตร์เรื่อง One Day ที่สร้างจากนิยายของ David Nicholls สารภาพเลยว่าตอนแรก ฉันคิดแค่จะเปิดดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะชอบดาราผู้มารับบทนำอย่าง Jim Sturgess และ Anne Hathaway แต่เมื่อได้ยินเพลงนี้จากตัวอย่างภาพยนตร์ ความสนใจของฉันก็เริ่มหันเหไปที่ตัวเพลง
หลังจากนั้น ฉันจึงไปเปิดดู MV เพลงนี้ ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้เพลงนี้โดดเด่นขึ้นมา คือ เสียงผิวปากของ Ryan Tedder นักร้องนำนั่นเอง เมื่อรวมเข้ากับเสียงดนตรีทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นเพลงนี้ ฟังแล้วมันเย็นใจดีจัง
ประโยคที่โดนใจฉันมากสุด อยู่ตรงท่อนที่ร้องว่า “When you're happy like a fool. Let it take you over. When everything is out. You gotta take it in.” เหมือนเป็นเครื่องช่วยเตือนใจได้เป็นอย่างดีว่าเรานั่นแหละที่จะเป็นคนควบคุมชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน (นี่...มาแนวปรัชญาด้วย)
อีกหนึ่งเพลงที่ฉันประทับใจ และเชื่อว่าเป็นเพลงโปรดของใครหลายคนเช่นเดียวกัน คือ Counting Stars เพลงโด่งดังสร้างชื่อให้กับวงนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก ดังขนาดไหน วัดได้จากยอดเข้าชม MV ตัวนี้ที่ปาเข้าไปถึง 2.5 พันล้านครั้งเข้าไปแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ฉันต้องการพูดเกี่ยวกับเพลงนี้หรอก (แล้วไหนกันล่ะ ประเด็นที่ว่าน่ะ)
มาแล้วประเด็น ในความเห็นของฉัน สิ่งที่ทำให้เพลงนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือ เนื้อร้อง เมื่อฟังให้ดี จะเห็นว่ามีการใช้คำที่ให้ความหมายแบบ paradox มากมาย (อารมณ์ประมาณฟังแล้วมันย้อนแย้งกันเอง)
ไม่ว่าจะเป็น “I-I-I-I feel something so right doing the wrong thing.” แล้วก็ต่อกันเลยด้วยประโยคที่ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามอย่าง “I-I-I-I feel something so wrong but doing the right thing.”
หรือจะเป็นประโยคที่ว่า “Everything that kills me makes me feel alive.” รวมทั้งประโยคคล้ายกันอย่าง “Everything that drowns me makes me wanna fly.” นี่ก็ด้วย ฟังแล้วฉันได้แต่ทึ่งไปกับการเลือกใช้คำอย่างชาญฉลาด สามารถทำให้ผู้ฟังหันมาให้ความสนใจกับเนื้อเพลง และตั้งใจฟังเพลงมากยิ่งขึ้น ขอชื่นชม Ryan Tedder นักร้องนำ ผู้เป็นคนแต่งเนื้อร้องเพลงนี้
ก่อนจะลากันไป (ยัง...ยังไม่ไปอีก) ขอทิ้งท้ายเพิ่มเติมกันสักนิดว่า Ryan คนนี้ ยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมแต่งเพลงดังอย่าง Halo ของศิลปิน R&B ตัวแม่ อย่าง Queen B หรือ Beyoncé นั่นเอง รวมไปถึงบทเพลงสร้างชื่อให้ Leona Lewis ศิลปินหญิงชาวอังกฤษ โด่งดังเป็นพลุแตกอย่าง Bleeding Love นี่ก็ได้เขาเป็นหนึ่งในคนแต่งเพลงเช่นเดียวกัน
ตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ฉันคงต้องไปจริงๆ ซะที (ไปเหอะ) ก่อนจะไป เชิญมาฟังการคร่ำครวญของฉันกันซะดีๆ “Hit me like a ray of sun. Burning through my darkest night.” สองท่อนแรกนี้ เพื่อความอลังการ จะต้องผายมือประกอบการร้องไปด้วย ต่อมาก็ร้องว่า “Keep bleeding, keep, keep bleeding love” พร้อมสีหน้าเจ็บปวดราวกับเลือดได้ไหลออกจากร่างไปหมดแล้ว
พลั่ก! ตุ้บ! นั่นเสียงอะไรกัน? อ๋อ...ผู้อ่านหมั่นไส้ มันไม่ยอมไปซะที ถีบส่งมันให้ตกเวทีมโนซะเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป
Source
ภาพประกอบ: Photo by RAVI RAYMOND from Pexels
Comments
Post a Comment