ว่าด้วยความหิวของฉันนั้น บางครั้งมันอาจจะมาเยือนฉันโดยไม่คำนึงถึงเวลาที่เหมาะสม จากประสบการณ์ที่ได้ลิ้มรสความหิวในแต่ละช่วงเวลา เวลาที่ย่ำแย่ที่สุดสำหรับอาการหิว น่าจะเป็นช่วงดึกมากๆ แบบตอนตี1-ตี2 (ทำไมแกจะต้องมาหิวช่วงนั้นนะ) เพราะช่วงเวลานั้น ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็มักจะปิดทำการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อความหิวบังเกิดขึ้นมา การจะกลับไปนอนหลับให้สนิท ดูจะเป็นไปได้ยากสำหรับฉัน เพราะแทนที่จะได้นอน มักจะเกิดอาการฟุ้งซ่าน ในหัวก็เฝ้านึกถึงแต่ของกินที่จะรีบไปกินในตอนเช้าเพื่อดับความหิวในท้อง ไม่ว่าจะเป็นภาพอาหารเช้าครบชุดอย่าง แพนเค้ก เบคอน ไส้กรอก ไข่ดาว ถ้าหิวมากเข้า จินตนาการของฉันก็จะเลยเถิดไปถึงพวกอาหารหนักอย่างพิซซ่า, ไก่อบ, คาโบนารา บางครั้งความคิดก็ไปถึงจุดที่กู่ไม่กลับแล้ว เพราะการมโนจะไปจบลงที่อาหารไทยที่ไม่สามารถทำเองหรือหาทานได้ง่ายๆ อย่างเช่น แกงส้มชะอมชุบไข่, หอยลายผัดเต้าเจี้ยว, ผัดผักบุ้งหมูกรอบ เป็นต้น (ฮือ...จุดนั้น แค่คิดก็นอนน้ำลายยืด พร้อมกับพลิกตัวไปมาด้วยความทรมาน)
การจะหวังพึ่งพาร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงอย่าง 7-11 ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เพราะที่นู่นไม่ได้มี 7-11 กระจายตัวอยู่แทบทุกมุมเมืองเหมือนในกรุงเทพ เพราะฉะนั้น ลืมสโมกกี้ไบท์ ชีสไบท์ ขนมจีบ ซาลาเปา แซนวิชแฮมชีส ไปได้เลย
เมื่อไหร่ที่จินตนาการพาฉันมาถึงภาพอาหารไทย เค้าลางแห่งความพ่ายแพ้มักจะมาเยือนฉันเสมอ ต้องตะเกียกตะกาย ลุกจากที่นอน ออกจากห้องพัก และขับรถเพื่อไปหาของกินตอนตีหนึ่งตีสอง ในขณะที่ผู้คนปกติ (ที่ไม่ใช่ฉัน) น่าจะหลับฝันดีกันไปนานแล้ว
ณ โมงยามแห่งความหิวโหยนั้น โชคดีที่ฉันยังมีร้านอาหารที่เป็นที่พึ่งพิงได้ เพียงแต่ร้านที่ว่านี้ อยู่ไกลจากที่พักของฉันค่อนข้างมาก เพราะร้านนี้อยู่แถว Highway 99 พูดง่ายๆ ว่า ถ้าคิดจะไปกินร้านนี้ ต้องถ่างตา ขับรถตะลุยข้ามเมืองจาก Seattle ไป Edmonds กันเลยทีเดียว
ร้านที่จุนเจือกระเพาะยามดึกของฉัน เป็นร้านอาหารเกาหลี มีชื่อว่า BCD Tofu House อาหารที่ขึ้นชื่อของร้านนี้ ดูจากชื่อร้านแล้ว น่าจะพอเดากันได้ว่าจะต้องเป็น sundubu-jjigae แหงแซะ ซึ่งมันก็คือ Korean soft tofu stew นั่นเอง โดยลูกค้าสามารถเลือกเนื้อสัตว์ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นหมู เนื้อ กุ้ง หอยตลับ หอยนางรม แฮม ไส้กรอก รวมไปถึงแบบมังสวิรัติที่ใส่แต่พวกผักต่างๆ ก็มีให้เลือก
สำหรับสายไม่กินเนื้อวัวอย่างฉัน มักจะเลือกสั่งแบบ seafood ช่วงเวลาฟินสุด คือ ตอนที่พนักงานยกอาหารของฉันมาเสิร์ฟที่โต๊ะ แค่ได้เห็นซุปกิมจิเต้าหู้ที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในหม้อ และมีไข่ดิบโปะอยู่ด้านบน เพื่อให้ฉันหยิบตะเกียบเกาหลีสีเงินมาคนๆ ให้ไข่ดิบเข้ากันกับน้ำซุปที่เดือดอยู่นั้น จากนั้นก็รอสักพัก เพื่อให้ไข่สุกและตักน้ำซุปมาชิม โอว! รสชาติของมันช่างกลมกล่อม ไม่มีอะไรจะสุขไปกว่านี้
นอกจากซุปซึ่งเป็นจานหลักที่เสิร์ฟมาพร้อมกันกับข้าวสวยแล้ว ก็ยังมี side dishes หรือ เครื่องเคียงจำพวกผักดองหลากหลายชนิด ที่มักจะพบเวลาไปกินร้านอาหารเกาหลีอีกเกือบสิบจานเล็กๆ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันชอบมาทานที่ร้านนี้ คือ ที่ร้านจะให้ปลาทอดเพิ่มมาด้วย (ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาอะไรเหมือนกัน แต่อร่อยดี) ขนาดของปลาก็กำลังพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป กินเสร็จจบเลย ไม่ต้องไปหาอะไรกินเพิ่ม (ถ้าแกยังกินได้อีก ก็น่าจะไม่ใช่คนแล้วแหละ)
เมื่อพูดถึง sundubu ก็ต้องขอเล่าหน่อยว่า ฉันได้รู้จักอาหารเกาหลีชนิดนี้ ตอนอยู่ San Diego เพราะเพื่อนคนไทยที่รู้จักกันชวนไปกิน ร้านที่เพื่อนพาไปอยู่แถว Convoy St. ชื่อร้าน Tofu House ไปถึงร้าน เพื่อนแนะนำเป็นคอร์สบังคับเลยว่าต้องสั่งซุปนี้ แต่ร้านนี้ต่างจาก BCD ตรงที่ไม่มีปลาทอดแถมมาให้ (แอบร้อง "ว้า!" เบาๆ) และทางร้านจะไม่ได้ตอกไข่ลงมาในหม้อให้ลูกค้า แต่เค้าจะวางไข่ดิบหลายๆ ใบไว้ในตระกร้าสาน เพื่อให้ลูกค้าตอกลงไปเอง ได้ตอกไข่ลงไปในหม้อน้ำซุปสีแดงที่กำลังเดือดปุดๆ ด้วยตัวเอง มันก็จะตื่นเต้น ลุ้นๆ หน่อยนะ 555
หลังจากได้ลองกินซุปชนิดนี้จากร้าน Tofu House ทำให้เวลาไปร้านเกาหลีที่อื่น ฉันมักจะสอดส่ายสายตามองหาในเมนูก่อนเลยว่า ที่ร้านมีเมนูนี้หรือไม่ เพราะติดใจในรสชาติกลมกล่อมของน้ำซุปและความเข้ากั๊น เข้ากันเป็นอันดีกับบรรดาสัตว์ทะเลที่ลอยคออยู่ในหม้อ ฉันตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว sundubu!
ถ้าความจำของฉันไม่ผิดพลาด ร้าน BCD ในสมัยนั้น เปิดทำการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง แต่พอไปค้นดูข้อมูลเวลาปิดเปิด ทำให้ทราบว่าในปัจจุบัน เค้าเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงแค่วันศุกร์-เสาร์ เท่านั้น ส่วนวันอื่นเปิดถึงตีสาม มาคิดดู ก็เริ่มไม่แน่ใจว่า หรือเค้าอาจจะยึดเวลาทำการแบบนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ฉันเองนั่นแหละที่ไม่เคยไปเยือนร้านหลังจากช่วงตีสามรึป่าว อันนี้ก็ไม่แน่ใจ
นี่คือร้านที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า การใช้เวลาในการขับรถทางไกลเพื่อไปตามเสียงเรียกร้องของกระเพาะอาหารในยามดึกสงัด ช่างเป็นสิ่งที่คุ้มค่า คุ้มกับค่าน้ำมันที่ต้องเสียไป คุ้มกับการต่อสู้กับความง่วงนอน รวมไปถึงความหนาวเย็นในยามค่ำคืน และสุดท้าย...อันนี้สำคัญนะ คุ้มแสนคุ้มกับแคลอรีส่วนเกินที่ได้มาจากการกินแบบไม่เป็นเวลาของมนุษย์ผู้หิวโหย
Source
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels
Source
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels
Comments
Post a Comment