ณ มุมหนึ่งในย่าน Chinatown-International District แห่งเมือง Seattle จะมีร้านอาหารจีนร้านหนึ่งที่เปรียบเสมือนสถานที่พักใจให้กับนักศึกษาไกลบ้านอย่างฉัน
ด้วยความที่ Seattle หรือ เมืองที่ได้รับสมญานามว่า “เมืองมรกต” (The Emerald City) แห่งนี้ มักจะมีสภาพอากาศที่เย็น อึมครึม และมีฝนตกปรอยๆ อยู่เป็นประจำ ทำให้ฉันเกิดอาการหิวขึ้นมาบ่อยๆ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นแค่ฉันคนเดียวหรือไม่ ที่พอเจออากาศหนาวเย็นเมื่อไหร่ ต่อมหิวจะขยันทำงานมากกว่าปกติ)
ในทุกครั้งที่หิวขึ้นมา ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น การได้ซดแกงจืดอุ่นๆ เค็มๆ ให้รู้สึกอุ่นท้อง มักจะเป็นสิ่งแรกที่ฉันนึกถึงเสมอ และสถานที่ที่ฉันสามารถหาแกงจืดซดได้ในยามนั้น ก็หนีไม่พ้น Chinatown
ร้านเจ้าประจำของฉันในตอนนั้น เป็นหนึ่งในร้านจีนมากมายที่เปิดเรียงรายอยู่ในย่าน CID การตกแต่งร้านก็ไม่ได้มีความพิเศษมากมายอะไรเท่าไหร่ ดูธรรมดา แต่ก็เป็นความธรรมดาที่มีกลิ่นอายของความเป็นจีนปกคลุมอยู่ทั่วร้าน อย่างเช่น มีโต๊ะกลม แบบที่เวลาเราจะกินอะไร ต้องหมุนเพื่อตักกับข้าว มีแผ่นกระดาษสีแดงที่ใช้เขียนคำภาษาจีนที่เป็นมงคลติดตามผนังร้าน มีปฏิทินจีน แบบที่เป็นตัวเลขตัวใหญ่ๆ และมีภาษาจีนกำกับว่าวันไหนเป็นวันดี วันมงคล อะไรประมาณนี้
สิ่งที่เห็นจะขาดไปไม่ได้สำหรับร้านนี้ก็คือ จะต้องมีคุณป้าชาวจีนคอยรับออเดอร์จากลูกค้า โดยคุณป้าท่านนี้ ถือเป็นผู้ที่มีจุดยืนหนักแน่นและเป็นคนไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เพราะแกจะสื่อสารกับลูกค้าทุกคนด้วยภาษาจีน ไม่ว่าลูกค้าจะมาจากไหน เชื้อชาติอะไรก็ตาม ทำให้เวลาที่ฉันได้สั่งอาหารกับคุณป้าท่านนี้ครั้งใด จะรู้สึกราวกับตัวเองกำลังอยู่ในเมืองจีนและเป็นนักท่องเที่ยวผู้หิวโหยที่กำลังพยายามสื่อสารเพื่อให้ได้กินอาหารที่ต้องการอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
การสื่อสารกับคุณป้าผู้รับออเดอร์ก็ไม่ยากเท่าไหร่ เริ่มแรกฉันก็กวาดตามองเมนูอาหาร (ที่บางครั้ง ชื่อเมนูบางอย่างก็ช่างดูคลุมเครือ อ่านไปก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างแจ้งอะไรเลย) และอ่านคำบรรยายเมนู เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามันคืออาหารแบบที่ฉันต้องการแน่ๆ จากนั้นก็หันเมนูไปทางคุณป้า พร้อมเอานิ้วจิ้มๆ เบอร์เมนูที่ต้องการ ซึ่งคุณป้าก็จะจดออเดอร์ลงกระดาษ และถือกระดาษแผ่นนั้น เดินไปในครัว พร้อมส่งเสียงภาษาจีน ป่าวประกาศชื่อเมนูที่ฉันสั่ง เป็นอันเสร็จพิธี เมื่อเห็นคุณป้าเดินออกมาจากในครัว ฉันก็สามารถเบาใจได้ว่าจะได้กินอาหารที่สั่งไปแน่นอน
หลายครั้งที่ฉันมักจะไปกินข้าวที่ร้านแห่งนั้นตามลำพัง โต๊ะที่นั่งแต่ละตัวในร้าน มักจะเป็นโต๊ะกลมสำหรับครอบครัว หรือไม่ก็โต๊ะใหญ่ๆ สำหรับพวกที่มากันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ทำให้เวลาฉันนั่งกินอาหารที่ร้านในแต่ละครั้ง จะให้ความรู้สึกโหวงเหวง โล่งโจ้งชอบกล ผสมปนเปไปด้วยความขัดเขินเล็กน้อย ไอ้ที่บอกว่าโหวงเหวง ก็น่าจะเป็นที่เข้าใจได้โดยง่าย เนื่องจากต้องนั่งหัวโด่ เดียวดายอยู่เพียงผู้เดียวกลางโต๊ะกลม แต่ที่บอกว่าเขินเนี่ย ก็เพราะเวลากิน จะมีสายตาฉงนใจของคุณป้าผู้รับออเดอร์ (รวมไปถึงคุณป้าที่ทำหน้าที่เป็นผู้เก็บเงิน และบางครั้งก็มีคุณลุงพ่อครัวที่เดินออกมาตอนที่ว่างจากงานครัวแล้ว) คอยเมียงมอง พร้อมก้อนเมฆคำพูดที่ลอยอยู่บนหัวของแต่ละคนเหมือนในการ์ตูน ด้วยความสงสัยว่ายัยผู้หญิงหัวดำต่างถิ่นคนนี้ ทำไมถึงมากินข้าวคนเดียวนะ
ทว่า ณ อารมณ์นั้น ความหิวมักจะชนะความบางของหน้าเสมอ ทำให้ความเขินอายลดระดับด้วยความรวดเร็ว และตั้งหน้าตั้งตาจ้วงกินอาหารต่อไปอย่างมีความสุข เมนูร้านคุณป้าที่ฉันสั่งประจำ คือ กุ้งขยี้ไข่ หรือ ไข่ขยี้กุ้ง (อืม...ไม่แน่ใจว่าควรเรียกแบบไหนดี เพราะปริมาณของกุ้งและไข่มันก็เยอะพอๆ กัน) หน้าตาของอาหารชนิดนี้ จะคล้ายๆ กับเมนูไข่ข้นกุ้งของร้านหน่องริมคลอง แบบที่มีไข่เยอะๆ กุ้งก็ตัวโตดี กัดไปแล้วเต็มปากเต็มคำ อีกเมนูประจำตัว คือ แกงจืดเต้าหู้ไข่สาหร่าย เมนูนี้ยิ่งฟิน เพราะเท่าที่สังเกต คนที่นู่นไม่ค่อยจะกินเต้าหู้ไข่กันเท่าไหร่ จะกินแต่เต้าหู้ขาวซะเป็นส่วนใหญ่ ฉันมันคนส่วนน้อย พอได้เจอเต้าหู้ไข่ของชอบ ย่อมออกอาการดี๊ด๊ามากมายเป็นธรรมดา
ได้กินสองเมนูนี้ของร้านคุณป้าครั้งใด เด็กไกลบ้านเกิดอย่างฉัน ก็รู้สึกอุ่นท้อง อิ่มเอม เหมือนได้ชุบพลังใจในการต้องต่อสู้กับอากาศหนาวเย็น และช่วยลดอาการคิดถึงบ้านไปได้บ้าง สายตาสงสัยของบรรดาคุณป้า คุณลุงที่มองมาที่ฉัน แม้ไม่เคยรู้จักกัน แต่เมื่อได้เห็นก็ให้รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด อารมณ์เหมือนฉันกำลังกินข้าว แล้วบรรดาญาติผู้ใหญ่มารุมล้อมอยู่ข้างโต๊ะ
ในระยะหลังที่ไปร้านนี้ คุณป้าน่าจะพอจำหน้าฉันได้บ้างแล้ว พอฉันแวะไปเมื่อไหร่ เหมือนแกก็พอจะเดาได้แหละว่าฉันจะสั่งอะไร เผลอๆ แกอาจจะนึกในใจด้วยซ้ำไปว่า ยัยนี่ มันมาทีไร ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเมนูหรอก กินแต่แบบเดิมๆ แต่แกก็ยังคงมารอรับออเดอร์ทุกครั้ง พร้อมทั้งส่งภาษาจีนของแกไปด้วย การได้เห็นบรรดาลุงป้าที่ร้านนี้ น่าจะคล้ายกับความรู้สึกที่ได้พบเจอญาติสนิท มิตรสหาย
ยามที่เปิดประตู จำต้องผละจากความอบอุ่นภายในร้าน เพื่อกลับไปเผชิญกับสายลมเย็นที่พัดพามาพร้อมอากาศหนาวในยามค่ำ อย่างน้อยฉันก็อิ่มท้องกับอาหารเมนูเดิมๆ และอิ่มใจกับบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับความเป็นบ้านที่ฉันจากมามากที่สุดแล้ว มาก...เท่าที่เมืองมรกตแห่งนี้จะสามารถมอบให้กับผู้คิดถึงบ้านเช่นฉันในวันนั้น
Source
ภาพประกอบ: Photo by Tookapic from Pexels
Source
ภาพประกอบ: Photo by Tookapic from Pexels
Comments
Post a Comment