รถเมล์ เรือ และความเอื้อเฟื้อที่ไม่จำเป็น


อ่านชื่อเรื่องแล้วรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่พัดผ่านมาอย่างแผ่วเบา แต่เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่เรื่องราวแสนเศร้า เคล้าน้ำตา แต่เป็นเหตุการณ์ที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เดินทางไปไหนมาไหนโดยรถเมล์หรือเรือ ก็เป็นไปได้ที่อาจจะเคยสัมผัสกับประสบการณ์เหล่านี้

แน่นอนว่าฉันก็เป็นคนหนึ่งที่มักจะเลือกใช้วิธีในการเดินทางไปที่ต่างๆ ในกรุงเทพด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เนื่องจากไม่อยากขับรถด้วยตัวเอง (พูดง่ายๆ ว่าขี้เกียจ) จะใช้บริการแท็กซี่ มันก็แพงเกินไป (แปลได้ว่า งก) ทำให้ยานพาหนะที่เลือกใช้ก็หนีไม่พ้นรถเมล์นั่นเอง

บางครั้งทางเลือกในชีวิตมีจำกัด ทำให้ต้องใช้บริการรถเมล์เล็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการเดินทางที่น่าจดจำครั้งหนึ่งในชีวิต เห็นจะไม่พ้นการตัดสินใจก้าวขึ้นเมล์เล็กกับน้อง เพื่อเดินทางกลับบ้าน ในครั้งนั้น จะเป็นเพราะขนาดของรถที่เล็กกว่ารถเมล์ปกติทั่วไป หรือเพราะความเร่งรีบส่วนตัวของคนขับรถก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้คนขับตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าซอยหนึ่งที่ฉันคาดว่าน่าจะเป็นทางลัดแทนการขับไปตามเส้นทางเดินรถปกติ ซึ่งทางลัดในที่นี้ หมายถึงซอยเล็กๆ ที่มีไว้สำหรับให้รถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถชนิดอื่นๆ ใช้ โดยไม่นับรวมถึงรถโดยสารประจำทางอย่างรถเมล์เล็ก

ความสามารถในการทะลุทะลวงเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ของคนขับ เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้โดยสารทุกคนในเวลาต่อมา ส่วนฉันและน้องซึ่งได้ที่นั่งในตอนหลังของรถที่เป็นเบาะยาวๆ ทำให้ไร้สิ่งยึดเหนี่ยวโดยสิ้นเชิง เมื่อมาเจอฝีเท้าของคนขับรถที่กำลังซิ่ง ราวกับกำลังต้องการทำลายสถิติอะไรสักอย่าง เลยได้แต่นั่งจับมือกัน เท้าก็พยายามจิกยันพื้นรถเอาไว้อย่างสุดความสามารถ พร้อมทั้งอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้คนขับพาเราพี่น้องไปส่งถึงที่หมายอย่างปลอดภัยด้วยเถิด

ใครก็ตามที่ต้องการรสชาติแปลกใหม่ในการเดินทางบนท้องถนน แนะนำให้ลองใช้บริการรถประจำทางชนิดนี้ดูสักครั้ง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะติดใจและได้มุมมองใหม่ในการเดินทาง ภาพของพื้นรถที่ปูด้วยแผ่นไม้ โดยขนาดของไม้แต่ละแผ่นที่นำมาใช้ก็ดูไม่ค่อยจะเท่ากันสักเท่าไหร่ ทำให้ในบางครั้ง คุณสามารถมองลอดผ่านรอยแยกของพื้นไม้ที่ไม่เรียบเสมอกันเหล่านั้นลงไปเห็นท้องถนนที่รถกำลังวิ่งอยู่ได้ด้วย บวกกับความเร็วในระดับสนามแข่งที่คนขับรถเมล์ใช้ รับรองว่าคุณจะต้องนั่งรถไปด้วยความหวั่นใจพร้อมกับความกังขาเป็นแน่แท้ว่าพื้นรถมันจะปะทุแยกออกจากกัน และอาจจะเด้งขึ้นมาตีหน้าผู้โดยสารอย่างเราเมื่อไหร่กันหนอ

การต้องนั่งโดยสารมาในรถด้วยความลุ้นระทึกแทบจะตลอดทางกลับบ้านในวันนั้น ทำให้น้องของฉันคิดสโลแกนสำหรับการโดยสารรถคันนั้นขึ้นมาได้ (อารมณ์เหมือนเวลาพวกเราอ่านพาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์รายวัน) และพูดให้ฉันฟังระหว่างการเดินทางที่แสนจะน่าพรั่นพรึงในครั้งนั้นว่า “น้องล้ม เมล์เล็กแยก” อืม ได้ฟังแล้ว ก็คิดในใจว่า บางครั้งคนเราก็อาจต้องอาศัยประสบการณ์ระทึกใจในการได้มาซึ่งไอเดียล้ำๆ เช่นนี้ 555

หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น น้องก็ดูจะแหยงๆ กับเมล์เล็กไปพอควร ส่วนฉันก็ยังคงใช้บริการเมล์เล็กอยู่ในแบบที่เรียกว่า “ใช้เท่าที่จำเป็น” ถ้าเลี่ยงได้หรือขณะนั้นมีตัวเลือกในชีวิตที่ดีกว่า ฉันก็จะเมินใส่เมล์เล็ก และหันไปนั่งอะไรที่ดูแล้วให้ความเร้าใจในชีวิตน้อยลง

วันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ขณะกำลังเดินทางกลับบ้านด้วยรถประจำทางปรับอากาศ  มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นกลุ่มเมฆก้อนโตๆ สีเทาปกคลุมอยู่เต็มท้องฟ้า ในใจก็คิดว่า พระพิรุณคงโปรยปรายลงมาก่อนที่ฉันจะถึงบ้านเป็นแน่แท้ ความคิดนี้ยังไม่ทันตกตะกอน ฝนก็เริ่มตกแปะๆ และจากนั้นความหนักหน่วงของเม็ดฝนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นตกหนักแบบที่แทบจะมองถนนหนทางไม่เห็นกันเลยทีเดียว

และสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น ก็ได้บังเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับรถเมล์ที่นั่งโดยสารมา เพราะพี่คนขับและกระเป๋ารถเมล์ได้ทำการประกาศว่ารถคันนี้ไม่วิ่งแล้ว ขอให้ผู้โดยสารลงไปต่อรถเมล์คันที่จอดรออยู่ด้านหน้าแทน

จังหวะนั้น ได้แต่นึกคร่ำครวญโหยหวนอยู่ในใจว่า พี่คะ นี่ล้อเล่นใช่หรือไม่ จะให้หนูเดินลงจากรถ ท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างเกรี้ยวกราดแบบนี้น่ะหรือ แต่พอได้เห็นบรรดาผู้โดยสารที่เริ่มลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมตัวจะลงจากรถ เลยต้องกลับเข้าสู่โหมดความเป็นจริง ยอมรับสภาพแต่โดยดี แม้ในใจจะเจ็บปวดและไม่พร้อมจะสัมผัสกับน้ำฝนขนาดไหนก็ตาม (แกไม่ได้เป็นโรคกลัวน้ำ อย่ามาทำใจเสาะ ลงๆ จากรถไปซะเถอะ)

ขณะที่กำลังต่อแถวเพื่อเดินลงจากรถ ก็ทำการค้นหาร่มที่จะต้องใช้กางกันสายฝนไปด้วย พอเดินมาถึงประตูรถ ก็จัดการกางร่ม พรึ่บ! และเดินลงไปสู่ความจริงอันโหดร้าย เพียงก้าวแรกที่เหยียบลงไปที่พื้นถนน ก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่านพระพิรุณไร้ความปรานีต่อมนุษย์ตัวน้อยๆ อย่างฉันโดยสิ้นเชิง พร้อมกับหันมองด้านหลัง เพื่อจะดูว่าคนที่เดินลงมาต่อจากฉัน มีร่มติดตัวมาด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มี ฉันจะได้เผื่อแผ่ร่มให้ใช้และเดินฝ่าสายฝนไปขึ้นรถคันใหม่ด้วยกัน

อนิจจา! เพื่อนผู้โดยสารที่ก้าวลงจากรถต่อจากฉันนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้พกร่มมาด้วย แต่เธอก็ก้าวเดินลงมาอย่างมาดมั่น ไม่ได้สนใจฉันที่ยืนเก้ๆ กังๆ กลางสายฝนและกำลังจะออกปากบอกให้เธอร่วมทางไปด้วยกัน เธอตัดสินใจใช้มือบังและวิ่งฝ่าสายฝนไปเลย คิดว่าอารมณ์นั้น ก็คงไม่มีใครมัวเสียเวลามารอรับความเอื้อเฟื้อจากคนอื่นหรอก หรือไม่ก็คงไม่คิดว่าจะมีใครยอมแบ่งร่มให้ใช้ด้วยกันท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอก็ทำให้ฉันตระหนักได้ถึงความจริงในเวลาต่อมาว่า บางทีการยอมวิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยตัวเอง ก็ทำให้เนื้อตัวของเราเปียกปอนพอๆ กับการมีร่มกางและเดินถนิมสร้อยอย่างระมัดระวังนั่นแหละ นี่ไง ความเอื้อเฟื้อที่มาในเวลาที่ผู้อื่นไม่ได้ต้องการ เพราะการฝ่าฟันไปด้วยตัวของตัวเอง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้นแล้ว

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ได้ทิ้งความรู้สึกคล้ายคลึงกันไว้ในใจฉัน คือ การนั่งเรือโดยสาร โดยก่อนหน้านั้น ฉันและแม่เคยใช้วิธีนั่งเรือกลับบ้านด้วยกันหนึ่งครั้ง ความที่ไม่เคยนั่งเรือแบบนี้ ทำให้การลงเรือ เป็นไปด้วยความทุลักทุเลพอสมควร แต่ในที่สุดก็สามารถหาที่นั่งกันได้ ตอนจะขึ้นท่าเรือใกล้บ้านนี่แหละที่เป็นปัญหา กว่าจะลุกขึ้นจากที่นั่งได้ ไหนจะต้องพยายามขอทางผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งอยู่แถวนอกเพื่อเดินไปขึ้นท่าเรือ ทำให้วันนั้นเราแม่ลูกเกือบต้องพลัดพราก ได้ขึ้นเรือกันคนละท่าซะแล้ว โชคยังดีที่มีคนตะโกนบอกเด็กเก็บตังค์บนเรือว่าผู้โดยสารยังขึ้นท่าไม่ครบ เลยประสบความสำเร็จกับการนั่งเรือกลับบ้านในวันนั้น

ต่อมา เมื่อฉันทำงาน การต้องเผชิญกับสภาพรถติดตอนกลับบ้านในทุกวัน ทำให้อยากหาทางเลือกอื่นในการเดินทางกลับบ้านดูบ้าง เลยนึกถึงการนั่งเรือขึ้นมาได้อีกครั้ง และคิดว่าจากประสบการณ์ในการนั่งเรือก่อนหน้านี้ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่ จำได้ว่าวันนั้นไปลงเรือที่ท่าน้ำแถว CentralWorld ลงเรือมาได้แล้ว ในช่วงแรกของการเดินทาง ทุกอย่างก็ดูจะราบรื่นไร้ปัญหา พอนั่งมาถึงประมาณช่วงอโศก-เพชรบุรีละมั้ง มีเรือจากฝั่งตรงข้ามที่แล่นสวนมาอย่างเร็ว ทำให้น้ำในคลองกระเพื่อมและกระฉอกเข้ามาในเรือ

โวะ! จะรอดเรอะ ไม่มีทางหรอกค่ะ น้ำจากคลองแสนแสบที่แสบสมชื่อ ได้กระเด็นมาโดนฉันและซึมผ่านเสื้อผ้า เรียกว่าซึมผ่านวาโก้เข้ามาสัมผัสผิวหนังกันเลยทีเดียว จังหวะที่น้ำจากคลองกระเด็นมาโดนตัว ราวกับวิญญาณนางร้ายในละครน้ำเน่าเข้าสิงร่าง (แต่น้ำในคลองมันก็น่าจะเน่าแหละนะ) ฉันได้แต่ร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้ขึ้นมา เล่นเอาผู้โดยสารที่นั่งแถวเดียวกันหันมามองกันใหญ่ คงจะสงสัยกันว่า อีผู้หญิงคนนี้ มันเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้ออกอาการดัดจริตถึงเพียงนี้

เมื่อผู้คนเริ่มมองมา ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัว เลยจำต้องสงบปากสงบคำ นั่งสำรวมเสงี่ยมหงิมดังเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้คนเกิดอาการหมั่นไส้จนอาจเป็นเหตุให้ถูกถีบตกเรือลงไปเวียนว่ายตายเกิดก่อนเวลาอันควรในคลองแสนแสบ จากนั้นก็ค้นกระเป๋าสะพายแก้เขิน (แกเพิ่งจะรู้สึกเขินเรอะ!) ดึงกระดาษทิชชู่ออกมาทำการซับน้ำจากคลองที่หลงเหลืออยู่ตามเนื้อตัวให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่น่าจะมีแค่ฉันคนเดียวหรอกที่โดนระลอกคลื่นแสนแสบพัดเข้าใส่ คนที่นั่งอยู่ด้านนอกตรงด้านที่ใกล้ตัวเรือมากกว่าฉัน น่าจะโดนมากกว่าซะอีก เลยหันไปมองบรรดาผู้โดยสารคนอื่นในเรือเพื่อสังเกตการณ์

เมื่อมองดูแล้ว รู้สึกได้ว่าผู้โดยสารทุกคนหลังจากเจอคลื่นน้ำคลองถาโถมเข้าใส่ ก็ไม่ได้มีอากัปกิริยาอะไรที่ผิดแผกไปจากปกติ ยังคงนั่งเรือกันด้วยความสงบเรียบร้อย (เห็นรึยัง มีแต่แกนั่นแหละ ที่เล่นใหญ่อยู่คนเดียว) เลยหันมามองผู้โดยสารที่นั่งแถวเดียวกันกับฉัน พอได้มองพี่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างฉันแล้ว เลยเห็นว่าคุณพี่เปียกไปซะครึ่งหน้าและหัวด้านขวาเลยทีเดียว ด้วยความเห็นใจคุณพี่ ฉันก็เลยทำการค้นกระเป๋าอีกรอบ สะกิดแขนคุณพี่ท่านนั้น แล้วยื่นกระดาษทิชชู่ให้คุณพี่เพื่อใช้ซับน้ำ

เมื่อคุณพี่โดนสะกิด เธอก็หันหน้ามาหาฉัน ก้มมองห่อกระดาษทิชชู่ พร้อมทำหน้าสงสัยว่าแกจะยื่นมันมาให้ชั้นทำไมกัน จากนั้นคุณพี่ก็เงยหน้ามามองฉัน พลางยิ้มอ่อนและส่ายหน้าโดยไม่มีคำพูดใดทั้งสิ้น แต่จากอากัปกิริยาเหล่านี้ของคุณพี่ ทำให้ฉันสามารถแปลออกมาเป็นคำพูดได้ว่า “พี่ไม่เอาหรอกจ้ะน้อง เก็บกระดาษของน้องไปเถอะ” โดยที่ในใจของคุณพี่นั้น อาจกำลังคิดอย่างดุเดือดก็เป็นได้ว่า “เมริงจะมัวมายื่นกระดาษทิชชู่ปัญญาอ่อนให้ตรูทำไม เอาผ้าใบส่วนตัวมาคลุมตัวตรูจากน้ำพวกนี้ไม่ดีกว่าเรอะ แต่ถึงจะได้ผ้าใบมาตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว คุณแสนแสบ แกเล่นตรูเปียกไปซะครึ่งหัวครึ่งหน้าแบบนี้แล้ว เซ็งห่าน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็ได้แต่มองหน้าคุณพี่และพยายามสื่อสารให้คุณพี่ได้รับทราบทางสีหน้าว่า หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณพี่ ถ้าพวกเราเกิดต้องประสบกับคลื่นแสนแสบระลอกสองขึ้นมาอีก หนูจะพยายามไม่กวนอารมณ์คุณพี่ให้ขุ่นเคืองทางใจแบบนี้อีกแล้วค่ะ แล้วก็ได้แต่เก็บห่อกระดาษทิชชู่ลงไปในกระเป๋าอย่างจ๋องๆ และนั่งเงียบๆ จนกระทั่งถึงท่าน้ำแถวบ้าน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉันดิ่งเข้าห้องน้ำแทบจะทันที เพื่ออาบน้ำ ชำระร่างกายจากน้ำคลองแสนแสบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนในคืนวันนั้น สีหน้าของคุณพี่เพื่อนร่วมทางในเรือ ตอนก้มมองกระดาษทิชชู่ในมือฉัน พร้อมกับเพลงท่อนหนึ่งก็แว้บเข้ามาในหัว “เก็บเอากระดาษทิชชู่ กองไว้ตรงนั้น เพราะมันไม่มีค่าอันใด ผ้าใบอยู่ไหนกัน เมื่อแสนแสบพัดใส่ ผ้าใบกางไหม เด็กเรืออยู่ไหน ที่ผ่านมา ฉันเคยมองผ่าน น้ำสาดมา ฉันเลยต้องการ เปียกมาก็นาน ม้ันจึงสายเกินไป”

Source
ภาพประกอบ: Photo by Kaique Rocha from Pexels

Comments