มิมิ ดิ๊กกี้ โอ่ง และดอกไม้ไฟของพ่อ


สุนัข เป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านของฉันมาตลอด สมัยที่ยังเป็นเด็ก ที่บ้านของฉันจะมีหมาอยู่ 2 ตัว เป็นพันธุ์ spitz ตัวแรกมีสีขาว แต่ตรงหูทั้งสองข้างและจมูกเป็นสีดำ รวมทั้งสองขาหน้าก็จะมีจุดสีดำอยู่ประปราย รูปร่างสะโอดสะอง เจ้าตัวขาวนี้ มีชื่อว่า มิมิ ส่วนตัวที่สอง มีสีน้ำตาลแซมด้วยสีขาวและสีดำตรงลำตัวเล็กน้อย ตัวนี้จะอ้วนกว่ามิมิอยู่นิดหน่อย ชื่อว่า ดิ๊กกี้

มิมิ และ ดิ๊กกี้ เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กของฉัน ทั้งสองตัวเป็นหมาที่เชื่อง พูดค่อนข้างรู้เรื่อง ไม่ดุ น่ารัก น่าเอ็นดู เวลาไปเปิดดูอัลบั้มรูปภาพสมัยที่ฉันยังเป็นเด็ก จะเห็นมิมิและดิ๊กกี้ เป็นส่วนประกอบในภาพด้วย บางภาพจะเห็นว่ามิมิกำลังแสดงความเอ็นดูต่อเด็กอย่างฉัน เพราะมิมิกำลังตะกายและใช้ขาหน้าทั้งสองขา ยันมาที่หัวฉันที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นสนามหญ้า พร้อมกระเป๋านักเรียนเด็กอนุบาลของฉันที่วางเป็นพร็อพเก๋ๆ อยู่ข้างๆ (ยังดีนะ ที่มิมิไม่ได้เอ็นดูฉันมากถึงขนาดใช้ขายันหน้าฉัน)

ตอนโตขึ้นมาหน่อย เริ่มเรียนชั้นประถม จำได้ว่าตอนนั้น ฉันกับน้องสาวถูกเรียกให้มาถ่ายรูป ฉันเลยเสนอให้ถ่ายด้วยคอนเซ็ปต์ “ของรักของหวง” ด้วยความที่ยังเด็กอยู่อ่ะนะ ตอนนั้นก็คิดว่ามันน่าจะดูคูลแน่นอน (แกคิดไปได้ยังไง) เมื่อได้ย้อนกลับมาดูภาพนี้ ณ เวลาปัจจุบัน ก็ให้รู้สึกอนาถใจกับตัวเองมาก แถมน้องก็โดนคอร์สบังคับให้ร่วมบันทึกภาพอันน่าอับอายในครั้งนั้นด้วย

ภาพที่ออกมา น่าจะจัดอยู่ในโหมดรันทด หน้าตาฉันในตอนนั้น เหมือนคนโดนบังคับให้ถ่ายรูป มองกล้องแต่ไม่ยิ้ม ทรงผมก็ดูประหลาด สั้นเสมอหูและมีผมม้าเต่อ การแต่งตัวก็ออกแนวบอยๆ ส่วนของรักของหวงที่ดูจะภูมิใจนำเสนอ ก็คือ หมอนเน่า กับตุ๊กตาตัวเล็กๆ แบบที่เอามาหวีผม และถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้

หมอนเน่าใบนั้น จำได้ว่าถือเป็น “my precious” สำหรับฉัน (วิญญาณ Sméagol จาก LOTR เข้าสิง) นอนที่ไหนต้องเอาไปด้วย เป็นอะไรที่ขาดจากกันไม่ได้ ใช้จนมันเน่าเกินจะเน่า ซักก็ไม่ซัก นั่งจับเม็ดนุ่น จนเม็ดนุ่นมันทะลุหมอนออกมา พอใช้ไปนานๆ เข้า หมอนมันก็ขาด แลดูไม่ถูกสุขอนามัย จนวันหนึ่ง แม่คงเกินจะทน กลัวลูกตายเพราะหมอนเน่า แอบเอาไปทิ้งตอนฉันไม่อยู่ พอฉันกลับมาบ้าน หาหมอนเน่าแสนรักเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จำได้ว่านอนร้องไห้กระอืดๆ อยู่นานมาก ร้องจนหลับเลย ฮือๆ ลาก่อน เพื่อนยาก

ส่วนน้องสาว ในการถ่ายรูปครั้งนั้น ก็มีสภาพไม่ค่อยไกลจากฉันไปมากเท่าไหร่นัก น้องอยู่ในชุดกระโปรงที่ดูปกติดี แต่มาดูหลุดโลกก็ตรงที่มีผ้าเช็ดหน้าที่พยายามจะเอามาผูกเป็นผ้าพันคอ แต่ด้วยความที่ผ้าเช็ดหน้ามันเล็กและสั้น เลยให้ความรู้สึกเหมือนผ้ากันน้ำลายของเด็กอ่อนมากกว่า (555 ขอโทษนะ น้องผู้น่าสงสาร) แถมยังถือกระเป๋าราตรีสีเงินของแม่ ที่ในตอนนั้นน่าจะกำลังอินเทรนด์ แต่ ณ ตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นของวินเทจ ซึ่งอันที่จริงแล้ว พร็อพที่น้องสาวเลือกมาใช้ในการถ่ายรูปในครั้งนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของรักของหวงของน้องหรอกนะ เพียงแต่โดนกำหนดคอนเซ็ปต์มาแบบนั้น น้องที่ไม่มีเพื่อนเล่นคนอื่นแล้ว ก็เลยจำใจเล่นด้วย และต้องพยายามหาของที่ดูแล้วน่าจะเข้า theme บ้าบอที่พี่เป็นคนคิดขึ้นมา โถ! ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารอะไรเยี่ยงนี้

สิ่งที่ทำให้ภาพฉันและน้องดูเหมือนคนปกติขึ้นมาบ้าง เห็นจะเป็นเจ้าดิ๊กกี้ ที่มานั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก ถ้าภาพนี้ไม่มีดิ๊กกี้ รับรองว่าภาพจะออกมาในโทนอารมณ์ที่ต่างไปจากเดิมแน่นอน ใครนึกไม่ออก ขอให้นึกถึงภาพวาดของ Grant Wood ที่ชื่อภาพ American Gothic นั่นแหละ ฉันกับน้อง มีสีหน้าประมาณนั้นเลย ฮิปสเตอร์แต่เด็ก

กลับมาต่อกันเรื่องหมา มิมิ จะมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นตามประสาหมา และมิมิเป็นหมาบ้าจี้ ถ้าใครเอานิ้วไปจี้ตรงช่วงลำตัวของมิมิ มันจะเอี้ยวตัวหลบและกระโดดหนี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฉันและน้อง พ่วงด้วยพี่เลี้ยง กำลังเปิดวิทยุฟังเพลงกันอยู่ พี่เลี้ยงของพวกเรา เกิดหมั่นเขี้ยวและอยากแกล้งเจ้ามิมิ ก็เลยทำการจี้เอวมัน มิมิที่คงจะรู้สึกจั๊กจี้แต่พูดไม่ได้ ก็เลยดิ้นและกระโดดหนีไป เลยไปชนกับวิทยุล้มระเนระนาด ปลั๊กหลุด เพลงเงียบ เล่นเอาวงแตกเลย

ส่วนดิ๊กกี้ จะเหมือนหมาผู้ดี ออกไปในแนวเรียบร้อย เป็นหมาเงียบๆ ไม่ค่อยทำเรื่องน่าตื่นเต้นเหมือนมิมิเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการนั่งดูวีรกรรมของมิมิซะมากกว่า คิดว่าดิ๊กกี้อาจมองการกระทำของมิมิ แล้วนั่งคิดว่าทำไปเพื่ออะไรกัน สู้เก็บพลังเอาไว้ นั่งพักผ่อนหย่อนใจให้สบายอารมณ์ ไม่ดีกว่าหรือ

เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ มีอยู่ปีหนึ่งที่บ้านฉันจะฉลองด้วยการเล่นจุดดอกไม้ไฟ ไฟเย็น โอ่ง ปากระเทียม ตอนที่ฉันถือไฟเย็นเล่นอยู่นั้น ประกายไฟที่วับๆ แวมๆ คงจะเป็นสิ่งแปลกใหม่ น่าตื่นเต้น ที่เจ้าหมาทั้งสองตัว เพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรกก็เลยเห่ากันใหญ่ ยิ่งตอนที่จุดโอ่ง พอไฟติดแล้ว ประกายไฟพุ่งขึ้นมาและมีขนาดใหญ่กว่าประกายของไฟเย็น คราวนี้จากที่เห่าๆ ด้วยความตื่นเต้นกันอยู่ ดิ๊กกี้กลับเกิดอาการกลัวโอ่ง รีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปหาที่หลบภัย ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ อย่างไม่ห่วงใครทั้งนั้น ส่วนมิมิ ตรงกันข้ามเลย พุ่งเข้าใส่โอ่งและเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามจะวิ่งไล่งับประกายไฟไปรอบๆ โอ่ง พอไฟหมด ถึงเริ่มสงบสติอารมณ์ได้

หลังจากเล่นโอ่งเสร็จ ก็มีการปิดท้ายรายการด้วยการจุดดอกไม้ไฟ แต่เป็นแค่ดอกไม้ไฟอันเล็กๆ เท่านั้นนะ จำได้ว่าพ่อยกดอกไม้ไฟขึ้นมาและชูขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉันในตอนนั้นที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก เลยคิดว่าดอกไม้ไฟที่พ่อจุดและเห็นเป็นประกายชั่วแวบเดียวนั้น กลายไปเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า อืม...แบบนี้เรียกว่าเป็นคนมีจินตนาการบรรเจิดแต่เด็กได้รึป่าว หรือว่ามโนมากเกินไป แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน นึกถึงตอนนั้นแล้ว มันก็สนุกดีนะ

Source
ภาพประกอบ: Photo by freestocks.org from Pexels

Comments