คอนเสิร์ตลูกทุ่งหลังบ้าน


เมื่อนึกถึงเพลงลูกทุ่ง ฉันมักจะนึกย้อนไปถึงความทรงจำในวัยเด็ก และบุคคลสำคัญผู้หนึ่ง ที่ฉันไม่อาจละเลยในการกล่าวถึงไปได้ เนื่องจากบุคคลผู้นี้ ถือได้ว่า เป็นผู้เปิดโลกแห่งเสียงเพลงลูกทุ่งให้ฉันได้รู้จัก และได้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงในตอนนั้น

ในวัยเด็กของฉันนั้น นอกจากคุณยายกับกง พ่อกับแม่ และน้าทั้งสองคนแล้ว ผู้ที่มีส่วนในการช่วยเลี้ยงดูฉันและน้องให้เติบโตมาได้ คือ พี่เลี้ยงทั้งสองคนของฉันกับน้อง (บอกแล้วไงว่าฉันเป็นเด็กใสๆ เลยต้องมี nanny คอยตามประกบ 555)

ที่เขาเคยว่ากันว่า เด็กจะมีลักษณะบางอย่างเหมือนกับคนเลี้ยง อันนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเป็นเรื่องที่สามารถเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน แต่กับครอบครัวของฉัน เห็นจะเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะทั้งฉันและน้อง ต่างก็มีลักษณะทางกายภาพบางประการที่มีส่วนคล้ายคลึงกับพี่เลี้ยงของแต่ละคน

เมื่อเวลาผ่านไป พี่เลี้ยงคนแรกที่เป็นพี่เลี้ยงประจำตัวฉัน มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปดูแลบุพการีของตัวเอง เลยทำให้ต้องลากลับบ้านไปแบบถาวร หลังจากนั้น ฉันและน้องเลยเหลือแต่พี่เลี้ยงคนที่สอง เมื่อก่อน ตอนผู้ใหญ่ออกไปทำงาน ในบ้านก็จะมีแค่ กง ฉันกับน้อง และพี่เลี้ยงคนนี้ ที่จะเป็นคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของทุกคน รวมทั้งทำงานบ้านอย่างอื่นด้วย

พี่เลี้ยงคนนี้ มีชื่อว่า พี่งาม เป็นคนรักเด็ก ใจดี อารมณ์ดี คุยเก่ง เป็นมิตรกับทุกคน จำได้ว่า พี่งาม เป็นลูกค้าขาประจำของแม่ค้าส้มตำ ไก่ย่าง ประจำหมู่บ้าน พอถึงช่วงกลางวัน เวลาแม่ค้าเข็นรถเข็นผ่านมาหน้าบ้านฉัน ก็จะได้พี่งามนี่แหละ คอยแวะซื้อและคุยด้วยเกือบทุกครั้ง ทำให้ฉันและน้อง มีโอกาสได้ลิ้มรสไก่ย่างไปด้วย

ไก่ย่างของแม่ค้าคนนี้ ก็น่าจะเหมือนกับไก่ย่างทั่วไปที่มักจะขายคู่กับส้มตำแหละ ย่างมาบนเตาถ่าน เวลาแม่ค้าย่างไก่ กลิ่นถ่าน กลิ่นควันและกลิ่นไก่ที่ผสมปนเปกันไปในอากาศจะส่งกลิ่นหอม ชวนให้เด็กๆ น้ำลายหกเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าไม่มีพี่งาม ฉันกับน้องก็คงได้แต่นั่งมองแม่ค้าส้มตำ เข็นรถเข็นที่มีไก่ย่างผ่านหน้าบ้านไปแบบตาละห้อย โหยหาไก่ เนื่องจากกงมักจะสอนว่า อย่าเที่ยวไปซี้ซั้วกินของกินข้างนอก เพราะเราไม่อาจแน่ใจในความสะอาดของอาหารเหล่านั้น

ดังนั้น ไก่ย่างของแม่ค้าส้มตำเจ้านั้น ในความรู้สึกเด็กอย่างฉัน จึงคิดว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษ อร่อยมากๆ อร่อยที่สุดแล้ว ก็แหงแหละ อะไรที่ต้องแอบกงเวลากิน มันก็มักจะมีรสชาติอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวไงเล่า (แกมันเป็นเด็กไม่รักดี เคี้ยบหนั่งแต่เล็ก)

เวลาพี่งามสั่งส้มตำจากหน้าบ้าน ฉันก็จะแอบตามออกไปดูด้วย ไปยืนเมียงๆมองๆ เล็งไก่ย่างใกล้ๆ ดูว่าไม้ไหนเข้าตา ท่าทางน่าอร่อยที่สุด แล้วก็ชี้บอกกับแม่ค้าว่าจะเอาไม้นี้นะ หลังจากเลือกไก่ได้ ฉันก็ยังไม่ได้เข้าบ้านหรอก โน่น ไปยืนดูข้างๆ รถเข็น ดูฝีไม้ลายมือการตำส้มตำของแม่ค้า ได้เห็นตั้งแต่การเหยาะน้ำปลา ตักน้ำตาลปี๊บจากในกระป๋องพลาสติก ผ่ามะนาวเป็นซีกแล้วก็บีบใส่ครก ตามด้วยพริก ใช้ทัพพีคนส่วนผสมให้เข้ากันเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็ใส่มะละกอดิบ กุ้งแห้ง ถั่วลิสง มะเขือเทศ แล้วก็ตำๆ คนๆ ให้เข้ากัน แม่ค้าตำไป ก็คุยกับพี่งามไปด้วย ส่วนฉัน เฝ้ามองไก่ไม้ที่จับจองไป ฟังเค้าคุยกันไป ในระหว่างที่กำลังรอไก่สุก ก็เพลินดี

เมื่อได้ไก่ย่างมาอยู่ในมือแล้ว ฉันก็จะเริ่มพิธีกรรมในการกินอย่างเป็นแบบแผน โดยส่วนของไก่ย่างที่ฉันจะเริ่มลิ้มรสเป็นส่วนแรก จะเป็นส่วนต่อระหว่างปีกบนกับปีกกลาง ก็ไม่มีใครสอนให้กินประหลาดๆ แบบนี้หรอก แต่ฉันในตอนนั้น น่าจะคิดเอาเองว่า มันดูเป็นมุมที่เหมาะเจาะที่สุดแล้วในการเริ่มต้นกิน ซึ่งจะบอกให้ว่า ไอ้ไก่ตรงส่วนนี้ มันก็ไม่ได้มีเนื้อไก่เยอะแยะมากมายหรอกนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงได้เลือกที่จะเริ่มกินตรงจุดนี้เป็นจุดแรก แต่นิสัยการกินมุมไก่ย่างแบบนี้ ก็ติดตัวฉันมาจนถึงตอนโตนะ (แต่ปัจจุบัน เวลากัดไปแล้ว รู้สึกมันไม่ได้อารมณ์ฟิน ไม่อร่อยเท่าตอนเด็ก ก็แค่นั้น)

จากนั้นฉันก็จะไปแทะเล็มกันต่อที่ส่วนปลายปีก ไอ้ส่วนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เหมือนหนังไก่หุ้มกระดูกมากกว่า ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าได้กินเนื้ออะไรเท่าไหร่เลย แต่เพื่อความสมบูรณ์ของพิธีกรรม ต่อให้การพยายามแทะปลายปีกไก่จะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลที่ทำให้ทั้งสิบนิ้ว ปากและมือ ลามไปถึงแก้มกับคางของฉัน มันแผลบและเต็มไปด้วยกลิ่นไก่ย่างขนาดไหน ฉันก็ยังคงกินมันต่อไป

พอเสร็จจากทั้งมุมไก่และปลายปีก ฉันก็จะมาต่อด้วยส่วนที่ฉันชอบที่สุด นั่นก็คือ ส่วนปีกกลาง จากนั้นค่อยมาตบท้ายด้วยส่วนปีกบน ซึ่งไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่ บางครั้งก็กินคู่กันไปกับข้าวเหนียว กินเสร็จหมดทุกส่วน ก็เดินไปล้างปาก ล้างมือ กลบเกลื่อนหลักฐานไม่ให้กงรู้ เป็นอันจบพิธี (ตอนนั้นยังเด็ก เลยไม่ได้กินพวกส้มตำ ลาบ น้ำตก อะไรเทือกนั้น แหม! แค่ได้ไก่ย่างก็ดูจะเป็นการกินที่แอดวานซ์มากแล้ว) เอ๊ะ! ตกลงนี่แกจะมาพูดเรื่องไก่ย่างใช่มะ ใจเย็นๆ ไม่ใช่นะ ใกล้ได้เข้าเรื่องแล้วละ

ในช่วงสาย บางครั้งฉันกับน้องก็จะไปนั่งอยู่กับพี่งาม ดูพี่งามซักผ้า ซึ่งในสมัยนั้น เครื่องซักผ้า ยังไม่ถือว่าเป็นของสามัญประจำบ้านเหมือนทุกวันนี้ ทำให้บ้านฉันในตอนนั้น ซักผ้าด้วยระบบ manual โฮะ! พูดซะหรูหรา ที่จริงมันก็คือ การมานั่งซักผ้าด้วยมือนี่แหละ จุดประจำการในการซักผ้าของพี่งาม คือ บริเวณสนามด้านหลังบ้าน ที่เต็มไปด้วยบรรดาโอ่งมังกรที่ได้รับการบรรจุน้ำจนเต็มและถูกตั้งเรียงรายเอาไว้เป็นแนวตลอดกำแพงหลังบ้าน

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการซักผ้า ได้แก่ กะละมังใบใหญ่ แปรงซักผ้า แผ่นไม้ที่ใช้พาดไว้ที่ขอบกะละมังสำหรับขยี้ผ้า กล่องแฟ้บ สายยางรดน้ำ รวมทั้งเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ ที่ใช้นั่งซักผ้า เหล่านี้คือสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบตัวพี่งาม ณ ขณะนั้น จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ฉันและน้อง เกิดอยากแจม อยากช่วยพี่งามซักผ้า (พี่งามคงนึกในใจว่า ไอ้เด็กพวกนี้ มันน่าจะทำให้ยุ่งมากกว่าเดิมซะอีก) และด้วยความใจดีของพี่งาม ทำให้แกอนุญาตให้ฉันกับน้องไปช่วยแจมด้วย

เริ่มต้นกระบวนการ พี่งามนั่งอยู่ตรงกลาง ฉันและน้อง ขนาบซ้ายขวาคนละด้าน จากนั้นก็ช่วยกันขยี้ผ้า ระหว่างนั้น พี่งามก็ร้องเพลงของศิลปินลูกทุ่งคนโปรดขึ้นมา ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก พุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่แทบทุกเพลงของราชินีลูกทุ่งผู้นี้ ได้รับความนิยมและโด่งดังมากในช่วงนั้น เพลงของคุณพุ่มพวง ที่ฉันรู้จักเป็นเพลงแรกในชีวิต ก็คือเพลง “สาวนาสั่งแฟน”

พี่งามจะเริ่มต้นด้วยการขยี้ผ้าที่เอามาวางตรงไม้ที่พาดระหว่างขอบกะละมังทั้งสองด้าน ขณะเดียวกัน ปากแกก็เริ่มร้องไปด้วยว่า “หากมีเวลามาเยี่ยมบ้านนาบ้างเน้อ พี่เน้อ” แล้วแกก็จัดแจง สอนฉันและน้องให้คอยเป็นลูกคู่ พอแกร้องเสร็จตรงท่อนนี้ ก็ให้ฉันและน้องร้องรับว่า “เอ้อ” 555

จากนั้นการซักผ้าก็ดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน เป็นที่เพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉันจะคอยฟังจังหวะจากแก ทำหน้าที่ลูกคู่ร้องรับ ถึงแม้จะเป็นการร้องรับด้วยคำเพียงคำเดียวว่า “เอ้อ” ก็ตามเถอะ พอแกร้องจบท่อนที่ว่า “ได้กินไข่ดาวสดๆ คาวๆ หอมๆ ฟุ้งๆ” ก็จะมีเสียง “เอ้อ” ตามมากับสายลม

ด้วยความเป็นลูกทุ่งมือใหม่ของฉันและน้อง ทำให้บางท่อน ก็จะเกิดปรากฏการณ์ “ลูกคู่ร้องผิดจังหวะ” เพราะพี่งามจะได้ยินเสียง “เอ้อ” จากเด็กสองคน แพลมมาในท่อนที่ไม่ต้องการ อย่างเช่นตรงท่อน “เมื่อไหร่พี่จะกลับบ้านนา ช่วยส่งข่าวมาล่วงหน้าจะได้ไหม”  เป็นต้น กว่าสองพี่น้อง ลูกทุ่งรุ่นเล็กจะเป็นงาน พี่งามก็ต้องทำการ encore ไปหลายรอบจากการเปิดคอนเสิร์ตหลังบ้านในครั้งนั้น โดยอาศัยเสียงขยี้ผ้า (ที่น่าจะใช้เวลานานกว่าเดิมในการซักจนเสร็จ) และเสียง เอ้อ แบบผิดจังหวะ แทนเสียงการปรบมือจากคนดู

หลังจากนั้น ฉันก็ได้รู้จักเพลงอื่นๆ อีกมากมายของคุณพุ่มพวง จากการที่พี่งามเปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยในเวลาทำงานบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ห่างหน่อยถอยนิด, ตั๊กแตนผูกโบว์, หนูไม่รู้, อื้อฮื้อ! หล่อจัง, หนูไม่เอา, พี่ไปดู หนูไปด้วย, ดาวเรืองดาวโรย, นับพบหน้าอำเภอ, ขอให้รวย, ฉันเปล่านา...เขามาเอง, กระแซะเข้ามาซิ, เงินน่ะมีไหม?, ผู้ชายในฝัน เพลงเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่ฟังจนติดหูในสมัยยังเด็กทั้งนั้น และทำให้ฉันรู้จักนักร้องลูกทุ่งที่ชื่อ พุ่มพวง ดวงจันทร์ จากแฟนเพลงอย่างพี่งาม

เมื่อฉันโตขึ้นและได้รู้ประวัติชีวิตของคุณพุ่มพวง จึงทำให้เกิดความชื่นชมในความสามารถของศิลปินผู้นี้มากยิ่งขึ้นไปอีก ที่เธอสามารถจดจำเนื้อเพลงที่ร้องได้ทั้งหมด แม้ว่าตัวเองจะไม่รู้หนังสือก็ตาม เพลงแต่ละเพลงที่เธอร้อง ก็ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน ทำให้จนถึงปัจจุบันนี้ นักร้องลูกทุ่งที่เป็นที่หนึ่งในใจฉันก็ยังคงเป็น ผู้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ราชินีลูกทุ่ง คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ คนนี้เสมอ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันรู้สึกขอบคุณพี่งาม ที่เป็นผู้เปิดประตูสู่โลกกว้าง ให้เด็กน้อยอย่างฉันได้รู้จักกับบรรดาบทเพลงอันโด่งดังของคุณพุ่มพวง รวมไปถึงบทเพลงของนักร้องคนอื่นๆ อีกด้วย (ที่จริงแล้ว พี่งามยังมีนักร้องคนโปรดเป็นพิเศษในดวงใจอยู่อีกหนึ่งคน คือ พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ เรียกว่าในวัยเด็กของฉัน จะได้ฟังเพลงพี่เบิร์ดและเพลงของคุณพุ่มพวงซะเป็นส่วนใหญ่) นอกจากพี่งามจะทำข้าวผัดไข่ได้อร่อยเหาะแล้ว ยังถือได้ว่า เป็นผู้มีส่วนทำให้ฉันรักในเสียงเพลงและดนตรีอีกด้วย

การซักผ้าพร้อมเปิดคอนเสิร์ตหลังบ้านในวันนั้น น่าจะทำให้พี่งามรู้สึกเหนื่อยและใช้พลังงานมากกว่าปกติ แน่นอนว่ากว่าจะซักเสร็จก็คงเสียเวลานานกว่าเดิมอีกด้วย แต่สิ่งที่พี่งามคงคิดไม่ถึง ก็คือ พี่งามได้เป็นผู้สร้างหนึ่งความทรงจำอันงดงามในวัยเด็กให้กับฉัน ภาพการขยี้ผ้าหลังบ้าน เนื้อร้องของบทเพลงสาวนาสั่งแฟน บรรดาฟองขาวๆ ที่ลอยล้นออกมาจากกะละมังซักผ้า พร้อมด้วยเสียงร้องเพลงและเสียงหัวเราะของเราทั้งสามคน ยังคงอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอมา

กลับไปเยี่ยมบ้านพี่งามคราวหน้า พวกเราอาจจะไปเปิดคอนเสิร์ตส่วนตัวกันท่ามกลางทุ่งหญ้า ข้างๆ ต้นชมพู่ลูกสีแดงๆ ที่พี่งามเคยเด็ดมาให้ฉันได้ลองชิม และร้องเพลงตั๊กแตนผูกโบว์ แถมเต้นประกอบพร้อมหางเครื่อง คือ ลูกสาวและลูกชายของพี่งาม หยิบตะกร้าสานที่พี่งามสานเอาไว้ขาย มาใช้แทนเครื่องดนตรี มีบรรดาวัวที่พี่งามเลี้ยงไว้เป็นเหล่าแฟนเพลง จะร้องเพลงให้ลั่นทุ่งกันไปเลย เอ้า! ลูกคู่ รับเซะ เอ้อ!

Source
ภาพประกอบ: Photo by Rene Asmussen from Pexels

Comments