เรียน (ไม่) ดี กีฬา (ก็ไม่) เด่น


บางครั้งการดูรูปลักษณ์ภายนอกของแต่ละคนนั้น ก็ไม่อาจใช้เป็นตัวตัดสินได้ว่า บุคคลผู้นั้น เป็นคนอย่างไร ดูตัวอย่างได้จากตัวฉันนี่แหละ ถ้าใครก็ตาม ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้มาเห็นฉัน อาจคิดไปว่าฉันเป็นเด็กเรียน เหอะๆ ลองมาเปิดสมุดพกดูเอาเสะ แล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณคิดนั้น ผิดไปจากความเป็นจริงอย่างมาก

ช่วงอนุบาล-ประถม ผลการเรียนของฉันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะให้แม่สามารถเอาไปอวดกับใครๆ ได้บ้าง จำได้ว่าตอนอนุบาล ฉันมักจะได้ที่ 1-3 วนเวียนกันไป โดยไม่เกินไปจากสามอันดับนี้ (แกแน่ใจใช่มะ ว่าทั้งห้องไม่ได้มีนักเรียนแค่ 3 คน) พอเริ่มเข้าชั้นประถม ผลการเรียนก็ไม่ได้ถือว่าแย่นะ ตอน ป.1 เคยสอบได้ที่หนึ่งด้วย (มีอะไรดีๆ ต้องโชว์ในตอนนี้แหละ ก่อนจะไม่ได้โชว์อะไรอีกเลย) หลังจากนั้น คาดว่าเซลล์สมองอาจเริ่มหยุดการเจริญเติบโต

เรื่องเรียนในตอนนั้น พูดไปแล้ว ก็ยังถือว่าดีกว่าเรื่องกีฬา จำได้ว่าตอนอยู่ ป.4 ในชั่วโมงพละ ครูแบ่งทีมให้เล่นแชร์บอลกัน ทีมที่ฉันสังกัดอยู่นั้น น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการรวมดาวเอ๋อ เพราะไม่มีใครในทีมรู้กฎกติกาในการเล่นกีฬาชนิดนี้กันเลย เพื่อนคนหนึ่งส่งบอลให้อีกคน โดยใช้วิธีเดินถือบอลไปส่งให้ถึงมือ ส่วนสมาชิกร่วมทีมคนอื่นๆ รวมทั้งตัวฉัน ก็ได้แต่ยืนเซ่อๆ งงๆ มองดูครูจับนกหวีดขึ้นมา แล้วเป่าฟาล์ว โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า ไม่มีประเทศไหนเค้าเล่นแชร์บอลกันแบบนี้ โวะ! ถ้าฉันเป็นครูพละ คงอยากเอาหัวโหม่งตะกร้าลูกบอลให้รู้แล้วรู้รอดไป ผลการแข่งขันในวันนั้น ไม่ต้องบอกก็น่าจะพอเดากันได้ว่า ทีมฉันก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้ามไปตามระเบียบ

หรือจะเป็นตอนที่เรียนม้วนหน้า-ม้วนหลัง อันนี้ก็ทรมานดีแท้ ม้วนหลังนี่ยังโอเคอยู่นะ พอถูไถ มั่วๆ ไปได้ เพราะมันก็คล้ายๆ การนอนหงายหลังแล้วตีลังกา มาติดขัดก็ตรงการม้วนหน้านี่แหละ ไม่กล้าม้วน กลัวคอหัก เพราะมันต้องก้มหัว แล้วเอาคอลง ทำไม่เป็น เลยต้องมาหัดม้วนบนเตียงที่บ้าน แต่เตียงมันก็ไม่ได้กว้างเหมือนฟูกที่ใช้ซ้อมที่โรงเรียนไง ม้วนไป ขาก็ไปเตะผนังห้อง ปัง! เจ็บนี้ไม่ลืม

ช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากเด็กประถมไปสู่เด็กมัธยม สิ่งที่ฉันจำได้แม่น คือ ชีวิตฉันในตอนนั้น วนเวียนอยู่กับการเรียนพิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ชั้น ป.5-ป.6 เป็นต้นมา เหตุผลของการเรียนพิเศษ ก็เพื่อเตรียมตัวในการสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน ในสมัยนั้น ยังมีการใช้ระบบจับฉลาก เพื่อให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีที่ตั้งอยู่ภายในเขตเดียวกันกับบ้านของนักเรียน ใครที่จับฉลากได้ ก็ได้สิทธิเข้าเรียนในทันที ไม่ต้องมารอลุ้นผลคะแนนสอบเหมือนนักเรียนทั่วไป โดยจะมีการจับฉลากภายในวันเดียวกันกับวันสอบคัดเลือกเลย หลังจากที่การสอบคัดเลือกเสร็จสิ้นในช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็จะเป็นช่วงที่นักเรียนที่เข้าสอบทุกคนต่างใจเต้นระทึก มานั่งรอลุ้นกันว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในคนที่จับฉลากได้หรือไม่ ราวกับนี่ไม่ใช่การสอบเข้าเรียน แต่เป็นการประกวดนางงาม และพิธีกรกำลังจะประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบสามคนสุดท้าย

น่าจะเป็นโชคดีของฉัน เพราะดันจับฉลากได้ซะด้วย จากที่กำลังกังวลกับการสอบที่ผ่านไปแล้วตอนช่วงเช้า ก็โล่งเลย เห็นแม่ที่พยายามชะเง้อมองหาฉัน ตอนที่ทางโรงเรียนประกาศชื่อของฉันและให้ยืนขึ้นเพื่อแสดงตัว แม่ดูจะดีใจยิ่งกว่าฉันซะอีก พอรู้ผลเป็นที่เรียบร้อย ก็พากันไปซื้อซาลาเปาและดอกไม้มาถวายแด่ปูชนียบุคคลที่เป็นที่เคารพสักการะของทางโรงเรียน ต่อจากนั้นก็ไปหาซื้อเครื่องแบบนักเรียนและตัดผม เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเป็นเด็กมัธยม

จากเด็กประถม ถักผมเปียพร้อมผูกโบว์สองข้าง มาเป็นเด็กมัธยม ตัดผมสั้นเสมอติ่งหู ใส่เสื้อคอกะลาสี ผูกคอซอง กระโปรงสีกรมท่า ดูจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันในตอนนั้นมาก ตอนเข้าร้านตัดผมและเห็นช่างหยิบกรรไกรมาตัดผมยาวเกือบประบ่าของฉัน ก็แอบเสียดายเล็กๆ เหมือนกัน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเคยสงสัยและกลับมาถามแม่ในตอนหลังว่า ถ้าวันสอบเข้าวันนั้น จับฉลากไม่ได้ ฉันจะสอบติดรึป่าว แม่บอกว่า ดูจากห้องเรียนที่ฉันได้เข้าไปอยู่แล้ว ก็น่าจะสอบติด เพราะฉันได้อยู่ห้องควีน (สมัยนั้นมีแค่ห้องคิงส์ ห้องควีนส์ เท่านั้น ยังไม่มีพวกห้อง gifted เหมือนในสมัยนี้ ที่ฟังแล้ว ชวนให้งง) ได้ยินแม่พูดอย่างนั้นก็แอบโล่งใจเล็กๆ ว่าฉันก็คงจะสอบติดได้ด้วยตัวเองแหละนะ

ช่วงแรกของชีวิตเด็กมัธยม มีอะไรที่ต้องปรับตัวอยู่พอสมควร อย่างเช่น เวลาพักกินข้าวกลางวัน ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากสำหรับฉัน เพราะโรงเรียนที่ฉันเรียนตอนช่วงประถม เป็นโรงเรียนคริสต์ ซึ่งเป็นปกติที่ทางโรงเรียนจะให้เด็กทุกคนสวดขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า ก่อนจะลงจากห้องเรียน เพื่อไปกินข้าวกลางวัน (นอกจากบทสวดขอบคุณพระเจ้าก่อนการรับประทานอาหารแล้ว ก็ยังมีบทสวดที่ใช้สวดขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าในตอนเช้า หลังจากเคารพธงชาติด้วย บางครั้งพวกเด็กๆ อย่างฉันก็เกิดอาการสับสน ท่องบทสวดสลับกัน เช่น จะท่องบทสวดก่อนไปกินข้าว แต่ดันท่องผิดบท ให้พระผู้เป็นเจ้าประทานความสว่าง และสติปัญญา ที่ใช้สวดในตอนเช้าแทน และเมื่อมีใครในห้องท่องผิดขึ้นมาหนึ่งคน ก็จะเกิดปรากฏการณ์ domino effect ทำให้สมาชิกในชั้นเรียนคนอื่นๆ พลอยท่องผิดตามไปด้วย ต้องมาเริ่มต้นท่องกันใหม่อีกครั้ง)

กลับมาที่ข้าวกลางวัน ณ โรงเรียนมัธยม เนื่องจากฉันยังเคยชินกับชีวิตนักเรียนประถม ทำให้หลังจากการเลิกเรียนคาบสุดท้ายก่อนพักกินข้าวกลางวัน ขณะที่เพื่อนๆ ต่างลุกขึ้นยืน ฉันก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพื่อเตรียมตัวสวดขอบคุณพระเจ้า แต่แล้ว เพื่อนคนอื่นๆ ที่กำลังจะเดินออกไปนอกห้อง เพื่อลงไปกินข้าวกันที่โรงอาหาร ก็หันกลับมามองฉันที่ยังคงยืนงงๆ และเพื่อนก็มองฉันแบบงงๆ กลับมาเช่นกัน คงกำลังสงสัยว่าแกจะยืนอยู่ตรงนั้นไปเพื่ออะไรกัน ไม่ไปกินข้าวเรอะ 555 ต่างคนต่างสับสนชีวิต

จากการยืนเข้าแถวถือถาด รอให้คุณครูตักอาหารและขนมให้ในตอนประถม กลายเป็นการไปเลือกซื้อข้าวกินด้วยตัวเอง วันไหนอยากกินอะไร ก็ไปเลือกร้านที่ชอบ ที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวอยู่ในโรงอาหารได้เลย เล่นเอาฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการพักกลางวัน ณ โรงเรียนใหม่มากๆ

เรื่องสถานที่เรียนก็น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน โรงเรียนใหม่ มีหลายตึกมาก ตอนที่ฉันเริ่มเข้าเรียนชั้น ม.1 จำได้ว่าขณะนั้นมีอาคารเรียนทั้งหมด 4 อาคาร มีครั้งหนึ่ง กินข้าวกลางวันเสร็จ ต้องแวะไปหาเพื่อนต่างห้องที่เรียนอยู่คนละตึก เพื่อนร่วมห้องของฉันที่ไปกินข้าวมาด้วยกัน เลยขอแยกตัว กลับขึ้นห้องเรียนกันไปก่อน พอฉันคุยกับเพื่อนเสร็จ จะเดินกลับห้องเรียนของตัวเอง ก็เริ่มหลงทิศทาง แทนที่จะขึ้นตึก 3 ที่เป็นห้องเรียนของเด็ก ม.1 ดันสับสนและเดินไปขึ้นตึก 1 ที่เป็นห้องเรียนของพวกพี่ ม.3

ตอนที่เดินอยู่หน้าห้องเรียน ก็ว่าแล้วว่ามันรู้สึกทะแม่งๆ แต่ก็ยังไม่รู้ตัวหรอกนะ กว่าจะรู้ตัวว่าขึ้นมาผิดตึก ก็ตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้อง พอดีเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายข้างบนประตูที่เขียนว่า ม.3/2 อ้าว! แล้วกัน นี่ไม่ใช่ห้อง ม.1/2 นี่หว่า มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกว่า วันนี้เพื่อนร่วมห้องแต่ละคน ดูจะตัวโตผิดปกติ โชคดีที่มีรุ่นพี่ที่คงสังเกตเห็นท่าทางเด๋อด๋าของฉัน เลยเข้ามาถาม แล้วบอกทางไปตึกของฉัน ตอนที่กลับมาถึงห้องเรียน เห็นเพื่อนในชั้นทุกคนนั่งประจำที่เพื่อเตรียมรอคุณครูเข้าสอนแล้ว เลยรีบวิ่งกลับไปนั่งที่ตัวเอง ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด เฮ้อ! รอดไปอีกหนึ่งวัน

หลังจากที่เดินเข้าห้องผิดในวันนั้นแล้ว ฉันก็ไม่ได้หลงอีกเลย เพราะเริ่มจับทิศทางได้แม่นขึ้น คุ้นกับสถานที่ขึ้นมาบ้างแล้ว และจำหน้าตาเพื่อนร่วมห้องได้แล้วด้วย อาการสับสนกับห้องเรียน ได้กลับมาเยี่ยมเยียนฉันอีกที ก็ตอนขึ้น ม.ปลายนู่นเลย เพราะขณะที่เด็ก ม.ต้น มีห้องเรียนที่แน่นอน เด็ก ม.ปลาย ในสมัยที่ฉันยังเรียนอยู่นั้น จะต้องเดินย้ายห้อง เพื่อเปลี่ยนห้องที่ใช้เรียนไปเรื่อยๆ บางคาบเรียนตึก 4 คาบต่อไปต้องข้ามตึกไปเรียนตึก 5 ที่เพิ่งสร้างใหม่  ตอนจดตารางเรียน เลยต้องมีการเขียนห้องกำกับไว้ด้วย เพื่อช่วยจำว่าคาบนี้ ต้องไปตึกอะไร

เมื่อพูดถึงเรื่องการเดินย้ายห้องเรียน ก็จะนึกถึงอาจารย์อีกหนึ่งท่าน ซึ่งท่านเป็นคนที่มีระเบียบมากและเป็นผู้ริเริ่มแนวคิด “การเดินชิดซ้าย” ขึ้นในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนปฏิบัติตาม เนื่องจากก่อนหน้านั้น การเดินขึ้น-ลง อาคารเรียนของนักเรียน จะเป็นการเดินในแนวที่เรียกว่า ทางใครทางมัน ไม่มีการกำหนดทิศทางอย่างชัดเจน ทำให้บางครั้งคนขึ้น คนลง เดินแทบจะชนกัน ดูแล้วไร้ระเบียบ และเป็นที่น่าหงุดหงิด

อาจารย์ท่านนี้ ก็เลยเสนอแนวคิดว่า เวลาที่พวกเราเดินภายในโรงเรียน ให้เดินชิดซ้าย ซึ่งเป็นอะไรที่แหวกขนบทั่วไปที่เรามักจะได้รับการสอนให้เดินชิดขวา แต่ฉันว่าแนวคิดนี้ก็ช่วยลดปัญหาการเดินสับสน ไร้ทิศทางของนักเรียนได้ดีนะ อยากจะบอกว่าจนถึงทุกวันนี้ ฉันยังคงจำเพลงที่ใช้รณรงค์การเดินชิดซ้ายภายในโรงเรียนได้อยู่เลย เนื้อร้องท่อนหนึ่งของเพลงนี้มีอยู่ว่า “ร่วมแรงร่วมใจ เดินชิดซ้าย เดินทางซ้าย เป็นอาจิณ” เชื่อว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนในรุ่นนั้น ก็น่าจะจำเพลงนี้กันได้

ตอน ม.1 ผลการเรียนของฉันนั้น ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ค่อนไปในทางที่ดี ส่วนการเรียนวิชาพละในตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะได้เรียนกับคุณครูสองท่านที่สลับกันมาสอน โดยสอนแยกนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย ช่วงแรกเหล่านักเรียนหญิงจะเรียนกับอาจารย์โตโต้ เป็นการออกกำลังกายแบบง่ายๆ มีช่วงยากๆ ให้ได้ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ก็ตอนที่ต้องโหนแป้นบาสเกตบอล แล้วดึงตัวขึ้นไปนี่แหละ แต่ก็สนุกดีนะ อาจารย์โตโต้จะเรียกให้แต่ละคนไปฝึกโดยเรียงตามเลขที่ ถึงตาใครต้องเป็นคนโหน อาจารย์และเหล่าเพื่อนหญิงในชั้นเรียนคนอื่นๆ ก็จะมารุมล้อมคนนั้น เรียกชื่อเล่นและส่งเสียงเชียร์สู้ๆ มันก็จะได้ลูกฮึด มีพลังในการยกตัว ก็ตอนได้ยินเสียงเชียร์จากเพื่อนนี่แหละ

ส่วนในภาคหลัง จะเป็นการเรียนปิงปอง พ่อกับแม่เลยพาฉันไปซื้อไม้ของ Butterfly (ดีใจมาก เพราะช่วงนั้นไม้ปิงปองยี่ห้อนี้กำลังฮิต ของมันต้องมีฮะ) จะด้วยความเห่อที่ได้ไม้ปิงปองยี่ห้อนี้ หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้การเรียนผ่านไปได้อย่างราบรื่น (แกมันพวกวัตถุนิยม บ้าแบรนด์เนม)

พอขั้นชั้น ม.2 การเรียนเริ่มดรอปเล็กน้อย เลยโดนระเห็จออกจากห้องควีน มาอยู่ ม.2/4 ในชั่วโมงสังคมศึกษา จะมีหนังสือที่ใช้ในการเรียน ชื่อ “ทวีปของเรา” (อันนี้มันจะเหมือนหนังสือชุดนะ ไล่ลำดับมาเรื่อยๆ ม.1 จะเรียนเรื่อง ประเทศของเรา พออยู่ม.2 เริ่มมาเรียน ทวีปของเรา และในชั้น ม.3 ก็จะยกระดับเป็นโลกของเรา อารมณ์ประมาณหนังสือ Harry Potter เลย) จำได้ว่า คุณครูวิชาสังคม เริ่มเปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามกับนักเรียนว่า แผนที่คืออะไร? จากนั้น คุณครูก็สุ่มเลือกนักเรียนให้เป็นคนตอบ เอาละ เลขที่ 3 ตอบครูมาซิ ผ่าง! จุดนั้น ฉันได้แต่คิดว่า ทำไมหนอทำไมกัน เลขก็มีให้เลือกตั้งห้าสิบกว่าเบอร์ ทำไมหวยต้องมาออกที่เลขที่ 3 ด้วยเล่า

ทำยังไงดี ตื่นเต้น ก่อนอื่น ต้องยืนแสดงตัวให้ครูรู้ก่อนว่า หนูนี่แหละค่ะ เลขที่ 3 ที่ครูสุ่มเรียกขึ้นมา หลังจากฉันยืนแสดงตัว คุณครูที่กวาดสายตาไปทั่วห้อง จึงเบนสายตามาที่ฉัน พร้อมกับแสดงท่าทางว่ากำลังรอคำตอบอยุ่ หลังจากการพยายามเค้นความรู้ที่มีในสมองอย่างสุดกำลัง ฉันก็เปล่งเสียงตอบครูไปว่า “กระดาษค่ะ” ผ่าง ผ่าง! หลังจากนั้น เหมือนว่าจะเกิด dead air ขึ้นในห้องเรียน เงียบสงัดและมีใบไม้ปลิว

ขณะเดียวกัน หางตาของฉันก็เหลือบไปเห็นกลุ่มเพื่อนสนิท ที่พากันยกมือปิดปาก แอบหัวเราะคิกคักกับคำตอบสิ้นคิดของฉัน ด้วยความอาฆาต เลยส่งสายตาเชือดเฉือนกลับไปให้เพื่อน หนอย! พวกแกรอดไปนะคราวนี้ ไม่มาโดนบ้างนี่ ฝากไว้ก่อนเหอะ หันกลับมามองครู เห็นครูดูอึ้งไปเล็กน้อยกับคำตอบแบบกำปั้นทุบดินเช่นนั้น แต่ครูก็สามารถสานต่อความว่างกลวงของฉัน และกอบกู้การสอนกลับมาได้ โดยบอกว่า ใช่ แผนที่ คือ กระดาษที่ใช้บอกที่ตั้งของสถานที่แต่ละแห่งนั่นเอง เป็นอันว่า เลขที่ 3 รอดตัว หันไปยิ้มสวยๆ กับเพื่อนได้ และนั่งลงอย่างสบายใจ

ส่วนวิชาพละ อาการดูจะร่อแร่ยิ่งกว่าซะอีก เพราะต้องมาเรียนกระบี่ กระบอง จำได้ว่าอาจารย์ที่สอนเป็นผู้หญิง โค้ดเนมที่เหล่านักเรียนใช้เรียกอาจารย์ท่านนี้ คือ อาจารย์เบนจี้ จากที่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากเพื่อนห้องอื่นและบรรดารุ่นพี่ อาจารย์เบนจี้ท่านนี้ โหดมาก และเมื่อได้เรียนจริงๆ ก็ได้ประจักษ์แจ้งแก่ตัวว่า มันไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นเรื่องจริง การเรียนกระบี่ กระบอง จะต้องมีจังหวะ ย่อ ยก ชิด จ้วง แทง ในระหว่างฝึกซ้อม ใครทำท่าไม่ถูกต้อง ไม่สวย จะถูกอาจารย์เบนจี้ จับมาเรียนตัวต่อตัว แน่นอนว่าเด็กป้อแป้อย่างฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น

พอถึงเวลาสอบ นักเรียนจะมายืนเรียงหน้ากระดาน ต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง และทำการออกลีลาสะบัดกระบองครั้งละ 5 คน เรียงตามลำดับเลขที่ โดยจะใช้ชอล์กเขียนเลขที่ของตัวเองให้เห็นเด่นชัดตรงส่วนเหนือกระเป๋าเสื้อพละสีน้ำเงิน และยังต้องเขียนเลขที่ตัวโตๆ กำกับไว้ที่ด้านหลังเสื้ออีกด้วย เพราะเวลาที่เราเปลี่ยนท่าและต้องหมุนตัว อาจารย์จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร และสามารถระบุตัวนักเรียนได้จากเลขที่ (ดังนั้น จึงไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านัก ถ้าใครคิดจะโดดเรียนในวันที่มีเรียนพละกับอาจารย์เบนจี้ เพราะสามารถถูกฝ่ายปกครองตามตัวได้จากเลขที่ของตัวเองที่เขียนโชว์หราไว้ตรงด้านหลังเสื้อแน่นอน)

จะเป็นเพราะกระบี่ กระบองนั้น ไม่ใช่ทางของฉัน หรือเพราะว่า เลขที่ 3 ของฉันที่ทำให้ ตำแหน่งที่ฉันยืนเหมือนเป็นตรงกลางในบรรดานักเรียนทั้ง 5 คนก็ไม่ทราบได้ พอถึงในช่วงเปลี่ยนท่า อาจารย์เบนจี้ กราดสายตาเลเซอร์ มองมาอย่างว่องไว แล้วก็พูดว่า เลขที่ 3 ออกไป ซึ่งแปลได้ว่า ท่วงท่ารำกระบองของแกนั้น ไม่ได้มาตรฐาน ต้องรอแก้ตัวในรอบสอบซ่อมต่อไป ได้ยินประกาศิตจากอาจารย์เบนจี้ จอมยุทธกระบี่เบี้ยวอย่างฉัน ก็ได้แต่กลายร่างเป็นหมาหงอย เดินถือกระบี่โซซัดโซเซ ตุปัดตุเป๋ ออกไปจากเหล่าจอมยุทธอีก 4 ท่านที่เหลือ

ส่วนสมัยมัธยมปลาย จำได้แค่ว่ามีครั้งหนึ่งที่ผลการเรียนของเด็กสายวิทย์อย่างฉันพีคมาก ตกระนาวในวิชาหลักๆ ทั้ง 3 วิชา ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ วันประกาศคะแนนสอบมิดเทอมในคราวนั้น หลังจากรู้คะแนนและกลับบ้านมาในตอนเย็น ต้องทำใจอยู่นานถึงจะกล้าบอกแม่ ยังดีหน่อยที่น้องของฉันเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้พี่อย่างฉัน ได้อาศัยกลยุทธ “ใช้น้องเป็นทัพหน้า” โดยวันนั้น ฉันให้น้องไปบอกข่าวดีกับแม่ก่อนว่า น้องได้ท็อปในวิชาอะไรบ้าง และปล่อยให้แม่ได้มีช่วงเวลาอิ่มเอม ปลื้มใจ ภูมิใจไปกับความฉลาดของน้อง จากนั้น เมื่อทางสะดวก (ต้องลงมือตอนช่วงที่แม่ยังคงยิ้มแย้มอยู่) ฉันก็ค่อยๆ กระมิดกระเมี้ยน เดินไปบอกแม่ว่า สอบตกทั้ง 3 วิชานะ

เหอะๆๆ จากที่ยิ้มๆ อยู่ สีหน้าของแม่ก็ค่อยๆ ห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ ราวลูกโป่งถูกสูบลมออกกะทันหัน เอาเถอะ ถ้า (พยายาม) คิดในแง่ดี อย่างน้อยฉันก็ได้ทำให้แม่มีความหลากหลายทางอารมณ์นะ จากที่ดีใจมากๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นค่อยๆ หดหู่ รันทดใจไปกับลูกน้อยหอยสังข์อย่างฉัน แต่...อย่าเพิ่งหมดหวังในตัวฉันไป เพราะถึงจะตกวิชาหลักสำหรับเด็กสายวิทย์ทั้ง 3 ตัว แต่ฉันก็ได้ท็อปในวิชาพุทธศาสนานะ (อันนี้ ถ้าเป็นเด็กบัญชี คงพูดขึ้นมาว่า นี่มันเป็นอะไรที่ immaterial)

สาเหตุที่ฉันได้คะแนนสูงในวิชานี้ ไม่ใช่เพราะฉันดำรงตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีมากมายอะไรหรอกนะ มาคิดดูแล้ว น่าจะเป็นเพราะในวิชานี้ เนื้อหาในหนังสือ มักจะเป็นเรื่องเล่าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ฉันอ่านและจำได้ ไม่ใช่อะไรที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างเช่น การเคลื่อนที่แบบโปรเจกไตล์ พันธะโคเวเลนต์ หรือ ไฟลัมพอริเฟอรา (แต่อันหลังนี้ ขอโชว์อย่างภาคภูมิใจว่า ฉันจำได้ว่าสัตว์ในไฟลัมนี้ คือ ฟองน้ำ และฉันชอบคำว่า Porifera มาก ให้ความรู้สึกเหมือนแนวเจ้าหญิงดิสนีย์ จำได้ว่าตอนที่เรียนมาถึงไฟลัมนี้ บ้าชื่อนี้ไปเลย ขนาดเอาไปตั้งเป็นชื่อกลุ่มทำรายงานส่งในวิชาชีววิทยาด้วย)

พอพูดถึงวิชาชีววิทยาขึ้นมา ก็นึกขึ้นมาได้อีกเหตุการณ์หนึ่ง มีช่วงหนึ่ง ที่เด็กสายวิทย์จะต้องเรียนเรื่องเกี่ยวกับกายวิภาค เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน จึงต้องมีการทดลอง โดยอาจารย์จะแบ่งกลุ่มนักเรียน และมอบหมายให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ไปซื้อหัวใจหมูและเตรียมมาจากบ้านกันเอาเอง เพื่อมาผ่าดูที่โรงเรียน

เมื่อวันผ่าหัวใจหมูมาถึง ทุกกลุ่มมีหัวใจหมูวางอยู่หน้าโต๊ะ เตรียมลงมีดผ่ากันแล้ว ยกเว้นกลุ่มฉัน (แกช่างเป็นนักเรียนที่ดีจริงๆ) ทำให้ในวันนั้น นอกจากจะโดนหักคะแนนแล้ว เพื่อนกลุ่มอื่นยังต้องนั่งฟังการเทศนาพิเศษของอาจารย์ที่สวดให้กลุ่มฉันโดยเฉพาะ ส่วนสมาชิกทั้ง 4 คนจากกลุ่มฉัน ก็ต้องทำการแยกย้ายตัว กระจัดกระจาย ไปนั่งเป็นส่วนเกินจ๋องๆ ดูเพื่อนจากกลุ่มอื่นทำการผ่าหัวใจหมู และวันนั้น ก็นั่งกินข้าวกลางวันอย่างซึมๆ เปล่านะ ไม่ได้รู้สึกผิดหรือคิดได้จากการโดนเทศนาหรอก แต่ภาพหัวใจหมูที่เพื่อนผ่า ยังตามมาหลอกหลอน ทำให้กินข้าวไม่อร่อย

การเรียนว่าย่ำแย่แล้ว การออกกำลังกายก็ไม่ได้น้อยหน้า ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องเรียนวอลเลย์บอล โดยตอนนั้นที่โรงเรียนฉันจะมีอาจารย์ฝึกสอนจากสถาบันอื่นมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการสอนของอาจารย์พละที่โรงเรียน ขั้นแรกของการเรียน อาจารย์ฝึกสอนจะสอนนักเรียนให้ลองหัดเดาะลูกวอลเลย์ โดยหงายสองมือมาซ้อนทับกัน และใช้ส่วนท้องแขนในการเดาะลูกไปเรื่อยๆ ทำให้ฉันได้รู้ว่าวอลเลย์บอล ช่างเป็นกีฬาที่โหดร้ายกับผิวหนังซะเหลือเกิน เพราะหลังจากเรียนและกลับมาฝึกเดาะลูกที่บ้าน ท้องแขนทั้งสองข้างของฉัน ก็มีรอยจุดเป็นจ้ำ polka dot สีแดงเล็กๆ กระจายไปทั่วทั้งแขน โฮ! น้องปลื้มจิตร์คะ มาช่วยพี่ที

ขั้นต่อไปของการเรียน ก็ช่างโหดร้ายกับเด็กป้อแป้แบบฉันยิ่งนัก เพราะต้องฝึกตบลูก โดยจะต้องตบลูกเข้าหากำแพง เพื่อให้ลูกมันสะท้อนและเด้งกลับมาหาเรา เพื่อจะได้ฝึกตบต่อไปเรื่อยๆ กำแพงโรงเรียนก็ช่างใจร้ายกับเด็กแรงเท่ามดขาดสารอาหารอย่างฉันซะเหลือเกิน ตบไปยังไง ลูกก็หล่นลงพื้น ไม่เห็นจะเด้งกลับมาเลย ได้แต่ฝึกตบลูกและตัดพ้อกำแพงที่น่าจะขาดคอลลาเจนไปด้วยความร้าวรานเพียงลำพัง โชคดีที่ตอนนั้น อาจารย์ฝึกสอนใจดี เลยช่วยสอนและทำให้ฉันสามารถสอบผ่านได้อย่างฉิวเฉียด

แต่ที่ถือเป็นประสบการณ์ที่พีคสุดในชีวิตการเรียนวิชาพลศึกษาของฉัน เห็นจะไม่พ้นในช่วง ม.5 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ได้ใช้ชีวิตนักเรียนมัธยม ก่อนจะต้องไปต่อที่มหาวิทยาลัย (ฉันใช้วิธีสอบเทียบ และสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตอนอยู่ ม.5 ทำให้ไม่ได้เรียนจนจบชั้น ม.6 แต่...อย่าเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเด็กเก่ง เพราะนักเรียน ม.ปลาย ส่วนใหญ่ในตอนนั้น ก็มักสอบเทียบกันทั้งนั้นแหละ)

ช่วงที่อยู่ ม.5 นั้น มีช่วงหนึ่งที่ต้องเรียนและสอบการกระโดดถีบ อาจารย์ที่สอน เคยเป็นถึงนักกีฬาเทควันโดทีมชาติ และฉันยังโชคดีอีกต่อหนึ่งด้วย เพราะเพื่อนสนิทในแก๊งเดียวกัน ก็เป็นนักกีฬาเทควันโด้ทีมชาติเหมือนกับอาจารย์ท่านนี้ ก่อนจะสอบ เพื่อนคนนี้ ก็มาช่วยฝึกซ้อม กำกับท่าทาง ให้ฉันกับเพื่อนอีกคน โดยมีเพื่อนสนิทในแก๊งคนที่เหลือ คอยดูและเป็นกำลังใจ คิดว่าไอ้พวกนั้น มันคงดูไปขำไปว่าอะไรมันจะจริงจังกันขนาดนั้น

พอถึงเวลาสอบ อาจารย์จะทำการเรียกสอบรายตัวต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนทั้งห้อง เรียงตามลำดับเลขที่ของนักเรียน ไอ้เพื่อนที่ฝึกซ้อมกับฉัน นอกจากจะอยู่ห้องเดียวกัน แก๊งเดียวกันแล้ว เลขที่ก็ยังติดกันด้วย มันเลขที่ 1 ส่วนฉันเลขที่ 2 พอถึงเวลาอาจารย์เริ่มทำการสอบ เลขที่ 1 กระโดดเตะได้ตามที่เพื่อนนักเทควันโดสอน ผ่านการสอบไปได้ด้วยดี เล่นเอาเพื่อนนักเทควันโดและบรรดาเพื่อนทุกคนในแก๊งที่เรียนอยู่คนละห้อง แต่บังเอิญว่าตอนที่ฉันสอบนั้น พวกมันไม่มีเรียน เลยพากันมานั่งดูอยู่ด้านหลังอาจารย์ พากันแสดงท่าทางโล่งใจและยินดีไปกับเจ้าเลขที่ 1

เหล่าเพื่อนๆ ในแก๊ง ยังไม่ทันหายตื่นเต้น ก็เป็นคราวของเลขที่ 2 อย่างฉันต้องแสดงฝีมือซะแล้ว พออาจารย์ให้สัญญาณเริ่ม ฉันก็กระโดดขึ้นมาพร้อมสะบัดขา ออกลีลาเหมือนตอนเพื่อนเทควันโดสอน แต่เหตุไฉน ภาพที่เห็น จึงเป็นขาขวาที่ยกค้างของฉัน และรองเท้าผ้าใบที่ลอยอย่างช้าๆ ไปในอากาศคล้ายภาพ slow motion และที่น่าหวาดเสียวไปยิ่งกว่านั้น คือ มันลอยไปในทิศทางที่อาจารย์นั่งอยู่ โชคยังดี ที่แรงเตะของฉันแสนจะไร้ประสิทธิภาพ ทำให้รองเท้าตกพื้นเสียงดัง ปุ! ก่อนถึงตัวอาจารย์ และ...เอาอีกแล้วครับท่าน เกิด dead air อึ้งกันไปทั้งห้อง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะของเหล่าเพื่อนร่วมห้องผู้เห็นเหตุการณ์ ลอยมาตามลมให้ฉันได้สะดุ้งและได้สติกลับคืนมา

วินาทีนั้น อยากแปลงกายเป็นมดและมุดลงดิน แต่ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่เหลือบมองอาจารย์อย่างหวาดๆ เห็นอาจารย์ก็ยังคงทำหน้านิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่ก็เป็นที่รู้กันโดยอัตโนมัติ ว่าแกต้องไปสอบซ่อม หันไปมองเพื่อนนักเทควันโด ผู้ฝึกสอนฉันมา เห็นมันทำหน้าประหนึ่งเป็นโค้ชที่ลุ้นนักกีฬาของตัวเอง แล้วผิดหวัง มันยกมือขึ้นมาปิดหน้า พร้อมหันหลังกลับ ขณะที่เพื่อนร่วมแก๊งคนอื่นๆ พากันนั่งกุมท้อง หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ส่วนเลขที่ 1 ที่สอบผ่านไปแล้ว มันคงจะเข้าใจความรู้สึกฉันในตอนนั้นมากที่สุด มันเลยไม่กล้าหัวเราะ ให้ฉันรู้สึกอับอายทั้งกับอาจารย์ และเพื่อนร่วมห้องทุกคนที่ได้เห็นฝีมือการเตะอันล้ำเลิศของฉันมากไปกว่าที่เป็นอยู่ 555 นึกถึงภาพนี้ขึ้นมาทีไร ขำทุกที

นอกจากนี้ ในสมัยที่อยู่ ม.5 ก็ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่ฉันชอบมาก คือ วิชาเลือกเสรี โดยนักเรียนแต่ละคนสามารถเลือกเอาเองได้ว่า อยากเรียนอะไร บางคนก็เลือกวาดรูป มีอะไรให้เลือกอีก จำไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ฉันเลือกวิชาดนตรี และตอนนั้นจะต้องเลือกเครื่องดนตรีที่จะเล่น เพื่อเอาไว้เรียนและใช้ในการสอบ รู้หรือไม่ ว่าฉันเลือกอะไร เปล่า ไม่ใช่เปียโน แต่เป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่า melodica ใครนึกหน้าตาเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่ออก ขอให้นึกถึงเปียโน แต่เพิ่มด้วยสายที่เอาไว้ใช้สำหรับเป่าเพื่อให้เกิดเสียง เป็นการเลือกเครื่องดนตรีของเด็ก ม.ปลาย ในระดับอนุบาลหมีน้อยมาก

มารู้สึกว่าตัวเองเลือกเครื่องดนตรีผิด ก็ตอนที่ต้องซ้อมเพลงเพื่อเอาไว้ใช้สอบนี่แหละ การเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ ฉันจะต้องกดนิ้วไปที่แป้นที่เหมือนกับเปียโนนั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็ต้องใช้ปากเป่าเพื่อให้มันเกิดเสียงไปด้วย ทีนี้ เวลาเล่น เหมือนว่าฉันจะใช้ประสาทสัมผัสหลายด้านเกินไปไง ทั้งนิ้วที่ต้องกด ปากที่ต้องเป่าให้เกิดเสียง ตาก็ต้องดูตำแหน่งที่จะกดตัวโน้ต เวลาเป่า น้ำลายก็ไหลยืดลงไปตามสายท่อ ดูอนาถมาก ยิ่งกว่าเด็กอนุบาลอีกนะแก

ทั้งชั้นเรียน มีฉันกับเพื่อนในแก๊งอีกคนเท่านั้นที่หลงผิดไปเลือกเครื่องดนตรีชนิดนี้ มีเพื่อนคนนึงเป็นเซียนกีตาร์ ตอนฉันกับเพื่อนนั่งซ้อม melodica กันอยู่ เพื่อนเซียนกีตาร์คนนี้ก็สะบัดนิ้วเล่นเพลง จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ ของพี่บอย โกสิยพงษ์ ฝีมือการเล่นของมัน เรียกได้ว่าขั้นเทพ คือฟังแล้วเหมือนกำลังเปิดเทปฟังเลย แถมการเล่นของมันก็ดูเป็นธรรมชาติมาก เหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายเท่าไหร่

ขณะเดียวกัน ตัดภาพมาที่ฉันและเพื่อนที่กำลังซ้อมเพลง Twinkle, Twinkle, Little Star ซึ่งดูรันทดและห่างชั้นกับเพื่อนเซียนกีตาร์มาก เป่าแทบเป็นแทบตาย เสียงก็ยังคงออกมาดูง่อยๆ แถมเวลาซ้อมเสร็จแต่ละที ต้องถอดสายที่ใช้เป่า มาล้างทำความสะอาด ตอนสอบยิ่งแล้วใหญ่ เพราะจากประสบการณ์ในการซ้อม ทำให้ฉันกับเพื่อนรู้ว่าเวลาเล่น น้ำลายมันจะไหลยืดลงมา เลยเล่นไป กลั้นหัวเราะไป น้ำลายหยดไป อาจารย์จะสังเกตเห็นหรือไม่ ฉันก็ไม่รู้หรอก ได้แต่สบตากันกับเพื่อนด้วยความอนาถใจกันอยู่สองคน

การเรียนก็ไม่ดี กีฬาก็ไม่เด่น จะหวังเอาดีในการเล่นดนตรีในชั่วโมงเรียนอิสระ แทนที่จะดี ก็กลายเป็นน่าตลกไปได้ พอโตขึ้นมา แม้จะเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว ฉันก็ยังคงใช้ชีวิตไปกับการผจญภัยใต้ mean อยู่ร่ำไป เกียรติประวัติในด้านการศึกษา นอกจากที่ 1 ที่คว้ามาให้แม่ได้ในตอน ป.1 และการทำคะแนนยอดเยี่ยมในวิชาพุทธศาสนาแล้ว หลังจากนั้น ผลการเรียนและฝีมือด้านกีฬาของฉัน ก็จะออกมาในแนวคุมโทน (ทุกคนในที่นี้น่าจะคิดว่า มันดูเบี่ยงไปทางดาร์กโทนนะแก) แต่นั่นแหละนะ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ถือได้ว่าเป็นสีสันชีวิตในวัยประถมและมัธยมของฉัน

ถ้านำภาพชีวิตและผลงานทางด้านวิชาการในช่วงนั้นของฉันมาทำการจัดบอร์ด (อารมณ์เหมือนตอนอยู่ชั้นประถมที่ฉันจะต้องจัดบอร์ด แปะภาพให้สวยงาม พร้อมมีการบรรยายเรื่องราว เวลาที่มีเทศกาลต่างๆ) ภาพและผลงานเหล่านี้ น่าจะถูกรวบรวมและจัดทำขึ้นมา ภายใต้หัวข้อ “Wall of Shame” อย่างแน่นอน และฉันขอจบเรื่องเล่านี้ พร้อมรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

Source
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels

Comments