Becoming Enlightened by UFOs

อ่านชื่อเรื่องแล้ว อาจชวนให้สับสนว่ายานแม่มาเกี่ยวข้องอะไรกับการรู้แจ้ง จะว่าเป็นเรื่องการสนทนาธรรม มันก็ดูทะแม่งๆ หรือจะเป็นด้านปรัชญา ก็ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะไปในแนวนั้น ในเมื่อคุณกำลังมึนงง ขอแนะนำให้อ่านต่อไป เพราะบางที คำตอบสำหรับสิ่งที่คุณกำลังสงสัย อาจตกหล่นอยู่ระหว่างบรรทัดก็เป็นได้


ถ้าคุณเจอโจทย์ว่า จงบอกชื่อนักดนตรีที่สามารถร้องและเล่นดนตรีได้หลายชนิด คุณจะคิดถึงใคร อืม...พูดแบบนี้ อาจจะฟังแล้วเป็นคำถามที่กว้างเกินไป เพราะในโลกนี้ก็มีนักดนตรีแบบที่ว่าอยู่มากมาย และรู้สึกว่าคำถามนี้ มันยังไม่เจาะจง ตรงใจฉันมากพอ ถ้าอย่างนั้นขอเปลี่ยนโจทย์เป็น จงยกตัวอย่างมือกลองที่สามารถร้องเพลงได้ (ร้องได้ในที่นี้ คือ ร้องแล้วฟังดูเพราะนะ) เจอคำถามที่สองนี้เข้าไป คุณจะนึกถึงใครกัน

ถ้าเป็นคนรุ่นพ่อแม่ ก็อาจจะนึกไปถึงมือกลองวงสี่เต่าทอง อย่าง Ringo Starr หรือถ้าเป็นคนรุ่นใหม่กว่ารุ่นพ่อแม่ขึ้นมานิดนึง ก็อาจนึกถึงมือกลองวง Genesis  ซึ่งก็คือ Phil Collins ส่วนคนรุ่นลูกอย่างฉันที่เป็นเด็กเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ไม่เรียบ เป็นที่แน่นอนว่า เด็กใสๆ เยี่ยงฉันจะต้องนึกถึง Dave Grohl ขึ้นมาทันที

Dave Grohl เคยเป็นมือกลองของ Nirvana วงดนตรีอเมริกันที่โด่งดังด้วยแนวดนตรีแบบ Seattle sound หรือที่เรียกกันว่า แนว grunge (เผื่อใครไม่คุ้นเคยกับดนตรีแนวนี้ มันก็คือแนวดนตรีย่อยแนวหนึ่งของ alternative rock นั่นแหละ) และเป็นธรรมดาที่เมื่อพูดถึงวงที่มีชื่อแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “นิพพาน” วงนี้ ผู้คนจะนึกไปถึงนักร้องนำมาดเซอร์อย่าง Kurt Cobain และเพลง Smells Like Teen Spirit ที่ใน MV ดูแล้วเหมือนวงนี้แอบไปเล่นคอนเสิร์ตในโรงยิมร้างที่เต็มไปด้วยฝุ่น เหล่า cheerleader ก็มาในโทนดาร์กๆ คนนั่งดูอยู่ก็เหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน แต่ก็ยังโยกหัว กระโดดไปตามเพลงกันอย่างเมามันส์ รวมทั้งภารโรงที่เป็นคนทำความสะอาดโรงยิมก็ดูเหมือนจะเพลินไปกับเพลงนี้เช่นกัน ยิ่งช่วงท้ายของเพลงที่เหมือนเกิดความปั่นป่วนโกลาหลกับบรรดาคนดู ทำให้ทุกครั้งที่ดู MV เพลงนี้จบ ฉันจะเกิดความรู้สึกสงสารคุณภารโรงของโรงเรียนนี้ยิ่งนักที่ต้องทำหน้าที่เก็บกวาดทุกอย่างให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ฮือๆ สะอึกสะอื้นด้วยความสะเทือนใจแทน

Dave ในตำแหน่งมือกลอง ก็ดูจะอินเหมือนกับทุกคนใน MV เห็นจากการตีกลองพร้อมการโยกหัวที่มีผมยาวๆ ไปด้วย ดูไปแล้ว ทำให้ฉันเกิดความคิดว่า ถ้าฉันเป็นบริษัทผลิตแชมพู อาจยกแชมพูให้ทุกคนใน MV นี้ไปเลย (แถมสบู่ให้ด้วย) เพราะดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะห่างหายจากการอาบน้ำสระผมมาสักพักแล้ว แต่คิดว่าถ้าทำอย่างนั้น คงได้ถูกทุกคนถีบออกมาจากโรงยิมแทบไม่ทัน พร้อมการส่ายหัวอย่างผิดหวังและพูดว่าแกนี่มันช่างไม่เข้าใจความเป็น grunge เอาซะเลยจริงๆ 555

อีกเพลงหนึ่งที่โด่งดังของ Nirvana ก็คือเพลงช้า อย่างเพลง Come As You Are โดย MV ตัวที่ฉันเคยดู จะเป็นแบบ unplugged ที่เพียงแค่เสียงกีตาร์ของเพลงนี้ขึ้นมา บรรดาสาวกก็พากันเปล่งเสียงด้วยความยินดีแล้ว และ MV เพลงนี้ เปรียบเสมือนภาพจำของฉันที่มีต่อ Kurt Cobain ก็ว่าได้ เรียกว่าพอนึกถึง Kurt ขึ้นมาเมื่อไหร่ จะเห็นเสื้อผ้า หน้า ผม การแต่งกายของเขาในเพลงนี้ขึ้นมาทันที

ฉันคิดว่าน่าจะเป็นด้วยอารมณ์เพลงที่เป็นแบบ unplugged ทำให้ทุกอย่างดูเบาลง ดังนั้น Dave ใน MV เพลงนี้ก็เลยมาในโหมดที่ดูเรียบร้อยกว่าเดิม มีการมัดผมและนั่งตีกลองไปเงียบๆ อย่างสำรวม ดูแตกต่างจาก Smells Like Teen Spirit แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

และนี่ก็เป็นสองเวอร์ชั่นที่ต่างกันของ Dave Grohl ในฐานะมือกลองของวง Nirvana ที่ฉันจำได้ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนเหนียวแน่นของมือกลองคนนี้ น่าจะพอรู้ว่า เครื่องดนตรีที่ Dave หัดเล่นด้วยตัวเองเป็นอย่างแรกนั้น ไม่ใช่กลองนะ แต่เป็นกีตาร์ และช่วงที่ยังคงเป็นมือกลองของ Nirvana เขาก็ยังได้แต่งเพลงขึ้นมาพร้อมเล่นดนตรีเองทั้งหมด และได้อัดเพลงที่แต่งเองเหล่านี้เป็นเทปเอาไว้ด้วย ซึ่งเพลงเหล่านี้ เป็นเหมือนโปรเจกต์ส่วนตัวของเขาเอง ไม่ได้เกี่ยวกับทางวง Nirvana แต่อย่างใด โดย Dave ได้ใช้นามแฝงสำหรับโปรเจกต์นี้ว่า Late!

หลังจาก Kurt เสียชีวิตไป Dave ที่คิดสะระตะเรียบร้อยแล้ว จึงเดินหน้าเข้าห้องอัด เพื่อทำการอัดเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง  โดยที่แรกเริ่มเดิมทีนั้น เขาตั้งใจว่าจะทำงานชิ้นนี้แบบไม่เปิดเผยตัวตน และคิดว่าเทปตัวอย่างนี้ จะฟังกันในวงจำกัดเท่านั้น เลยเลือกใช้ชื่อ Foo Fighters ซึ่งเป็นคำที่ใช้อ้างอิงถึงบรรดายูเอฟโอในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย Dave เลือกชื่อนี้ เพราะช่วงที่ทำการอัดเทปอยู่นั้น เขาได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับยานแม่มากมาย ประกอบกับการที่เขาอยากทำให้คนเข้าใจว่า นี่เป็นเพลงที่ทำขึ้นมาโดยวงดนตรี ไม่ใช่คนเพียงคนเดียว (แม้ว่าในช่วงแรก เขาจะร้องเอง เล่นดนตรีเองทั้งหมดเพียงคนเดียวก็เถอะ) ดูจากชื่อ Foo Fighters แล้ว มันน่าจะเหมือนกับว่ามีสมาชิกหลายคน เออ! มันก็จริงของเค้านะ เพราะชื่อนี้เติม s เป็นพหูพจน์

ปรากฏว่าเทปตัวอย่างชิ้นนี้ของเขาได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างและมีค่ายเพลงสนใจ จากนั้นเขาจึงได้ทำการก่อตั้งวงของตัวเองขึ้นมา จากที่เคยเป็นมือกลองแห่ง Nirvana  ก็เปลี่ยนบทบาทมารับตำแหน่ง นักร้องนำและมือกีตาร์ เพลงของ Foo Fighters ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จัก มีอยู่มากมายหลายเพลงด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น Everlong, Monkey Wrench, My Hero, Walking After You, Best of You, The Pretender, Walk และ These Days เป็นต้น

ในบรรดาบทเพลงทั้งหมดของ Foo Fighters เพลงที่ตรึงใจฉันมากที่สุด คือ เพลง Learn to Fly ขึ้นเพลงมาก็ได้ใจฉันไปเต็มๆ แล้ว กับเนื้อร้องที่ว่า “Run and tell all of the angels. This could take all night. Think I need a devil to help me get things right.” ฟังแล้วชวนให้รู้สึกมึนเมาไปกับเพลง เสียงกีตาร์แจ่ม กลองก็มาเต็มๆ แบบหนักแน่น ประทับใจอย่างแรง

MV เพลงนี้ ดูแล้วก็ตลกดี เพราะผู้ชมจะได้เห็นสมาชิกแต่ละคน สวมบทบาทแตกต่างกันไป แต่คนที่ฉันขำมาก เห็นจะเป็นมือกลองของวง คือ Taylor Hawkins ที่รับบทเป็นแอร์โฮสเตส คิดว่าถ้า Taylor เป็นผู้หญิง มันน่าจะโอเคเลยนะ เหมือนมีบางมุมที่มองแล้วดูสวย นอกจากนี้ MV นี้ ก็ยังได้ 2 สมาชิกจากวง Tenacious D อย่าง Jack Black และ Kyle Gass มาร่วมแสดงอีกด้วย

ขอกลับมาที่มือกลองอย่าง Taylor กันอีกสักนิดนึง ก่อนหน้าที่เขาจะมาร่วมงานกับวงยานแม่ เขาเคยเป็นมือกลองในการแสดงทัวร์คอนเสิร์ตของ  Alanis Morissette (ใครรุ่นเดียวกันกับฉัน ต้องรู้จักศิลปินหญิงผู้นี้ เจ้าของเพลงอันโด่งดังอย่าง Ironic, You Learn, Head over Feet, etc.) เคยได้ยินคนพูดกันแบบขำๆ ว่า การได้ Taylor มารับตำแหน่งมือกลองของวง Foo Fighters ดูไปแล้วก็เหมือนกับ การได้เห็น Kurt Cobain และ Dave Grohl แห่ง Nirvana มาสลับตำแหน่งหน้าที่กัน เออ! จริง เห็นด้วย

สิ่งที่ทำให้เพลง Learn to Fly เป็นที่น่าประทับใจสำหรับฉันมากยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือ การที่มีกลุ่มนักดนตรีจำนวนหนึ่งพันคน มารวมตัวกันในปี 2015 เรียกว่า โปรเจกต์ Rockin’ 1000 โดยมีการร่วมร้องและเล่นดนตรีเพลงนี้ ณ เมือง Cesena ประเทศอิตาลี จุดประสงค์ของการรวมตัวกันนี้ ก็เพื่อวิงวอนให้ทางวง Foo Fighters มาแสดงคอนเสิร์ตที่เมือง Cesena ของพวกเขา

การได้เห็นผู้คนมากมายร่วมร้องเพลงนี้อย่างมีความสุข เรียกได้ว่าเป็นการร้องแบบมี passion ยิ่งตอนที่ได้เห็นภาพที่บรรดามือกลองระรัวกลองในจังหวะเร้าใจ ยกไม้กลองและตีไปในทิศทางเดียวกันแบบได้อารมณ์ด้วยแล้ว ขนาดคนธรรมดาอย่างฉันที่ไม่ใช่ Dave และสมาชิกทุกคนในวง Foo Fighters แค่ได้เห็นภาพ ยังเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ เลย และเป็นที่น่าดีใจกับทุกคนที่มีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้ เพราะ Dave ได้ทำการเขียนข้อความขอบคุณทุกคนสำหรับการแสดงนี้ และในที่สุด Foo Fighters ก็ไปแสดงคอนเสิร์ตที่เมือง Cesena ในอีก 3 เดือนต่อมา โอ! คนบางกอก รู้สึกฟินไปด้วย

ฉันว่า Dave เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในหลายๆ ด้านเลย นอกเหนือไปจากความสามารถในด้านการร้องเพลงและเล่นดนตรีได้หลากหลายชนิดแล้ว เขายังเป็นผู้พูดที่สามารถดึงความสนใจจากผู้ชม ผู้ฟังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เวลาพูดดูมี charisma พูดแล้วดูเป็นธรรมชาติและฟังดูน่าติดตาม และสิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างเกี่ยวกับเขา คือการที่ได้รู้ว่าเขาก็ยังคงไม่รู้วิธีการอ่านโน้ตดนตรีนะ แต่อาศัยการฟังแล้วมาลองหัดเล่นและฝึกด้วยตัวเอง ทั้งในส่วนของกีตาร์และกลอง เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นดีมาก

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ฉันจำได้แม่น คือ การแสดงคอนเสิร์ตของเขา ที่เมือง  Gothenburg ประเทศสวีเดน ในปี 2015 ในระหว่างที่กำลังร้องเพลงและเล่นดนตรีในช่วงต้นๆ ของคอนเสิร์ตอยู่นั้น Dave เกิดเดินไปสะดุดกับสายเคเบิลที่อยู่บนเวที จากที่ฟังการให้สัมภาษณ์ในตอนหลัง Dave เล่าว่า หลังจากเดินสะดุดไปแล้วและรู้ว่ากำลังจะตกเวที เขาเลยคิดว่าจะกระโดดลงไปที่พื้นด้านล่าง แต่ปรากฏว่าลงไปผิดท่า และขาหัก OMG! ถ้าเป็นนักร้องคนอื่น เจอไปอย่างนั้น น่าจะหยุดเล่น และอาจจะยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนั้นไปเลยก็ได้ แต่เชื่อไหมว่า Dave บอกกับคนดูว่าอย่างไร (มาดูย้อนหลังแล้วแอบขำนะ แต่ตอนนั้นทั้งเขาและคนดูคงขำไม่ออกหรอก)

เขาบอกกับคนดูว่า “ผมคิดว่าขาผมหักนะ” แน่นอนว่าพอคนดูได้ยินอย่างนั้น ก็ส่งเสียงดังระงมขึ้นมาด้วยความผิดหวัง แต่ Dave บอกกับคนดูว่า ฟังนะ เขาสัญญาว่าจะกลับมาและเล่นคอนเสิร์ตต่อให้จบ ระหว่างนั้น เขาก็มอบหมายให้ Taylor มือกลอง เป็นคนสานต่อ ทำไงก็ได้ให้คนดูสงบ ส่วนตัวเขาจะต้องไปโรงพยาบาลและทำการซ่อมแซมขาของเขา และเขาจะกลับมาเล่นคอนเสิร์ตต่อ 555 rock ตัวจริงมาก

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ Dave กลับมาจริงๆ หลังจากไปซ่อมแซมขาของเขาเรียบร้อยแล้วที่หลังเวทีนั่นเอง โดยมาในสภาพนอนอยู่บนเปลหามให้เจ้าหน้าที่แบกเข้ามาเลยฮะ กางเกงยีนส์สีดำด้านขวาถูกตัดออก เพราะขาข้างขวาโดนเข้าเฝือกไว้ และขำมากที่เขากลับเข้ามาในจังหวะที่สมาชิกคนที่เหลือกำลังเล่นเพลง Under Pressure ของ Queen โดยมี Taylor ทำหน้าที่นักร้องชั่วคราว ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นสีหน้าของ Taylor ตอนที่ Dave กลับเข้ามา ถ้าให้แปลเป็นคำพูด น่าจะประมาณว่า “เฮ้อ! กูโล่ง ในที่สุด เมริงก็กลับมาสานต่อซะที”

ด้วยความเป็นนักร้องของ Dave หลังจากที่ทางทีมงานยกตัวเขาออกจากเปลหามมานั่งที่เก้าอี้แล้ว เขาก็ออกลวดลายทันที มาเรยฮะ นั่งเสร็จร้องเลย “ชู้ปิดั๊บ โวว โว้ว” และอะไรอีกก็ไม่รู้ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่อารมณ์มันได้เลยนะ กำลัง under pressure จริงๆ นั่งร้องไปไม่ทันไร เขาก็เรียกหากีตาร์ แล้วก็เล่นต่อได้เลย โดยระหว่างที่เขาเล่นดนตรีและร้องอยู่นั้น จะต้องมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งคอยช่วยประคองขาที่หักและอยู่ในเฝือก คิดว่าน่าจะต้องคอยสังเกตการณ์แหละ และต้องประเมินดูว่าอาการของเขาเป็นยังไง ยังไหวหรือไม่

ที่รู้สึกพีคก็คือ มันจะมีจังหวะที่เจ้าหน้าที่คนนั้น นั่งหันหน้าไปหา Dave เพื่อคอยจับตาดูอาการของเขา แต่ Dave กลับชี้ไปที่กลุ่มคนดู ประมาณว่าให้เจ้าหน้าที่คนนั้น หันไปหาคนดูเซ่ คิดว่าเขาคงอยากให้เจ้าหน้าที่สนุกไปกับกลุ่มคนดูและการแสดงคอนเสิร์ต 555 เผื่อใครที่อ่านแล้วแอบลุ้นอยู่ จะบอกให้เบาใจว่า เขาสามารถแสดงคอนเสิร์ตครั้งนั้นต่อจนจบได้ด้วยนะ คิดดูสิ จะมีนักดนตรีสักกี่คนกัน ที่หลังจากตกเวที ขาหักแล้ว ยังคงกลับมาร้องเพลง เล่นกีตาร์ ยิ้มและสนุกไปกับการแสดงคอนเสิร์ตเพื่อให้คนดูมีความสุขได้อย่างเขาคนนี้ ปรบมือสิฮะ รออะไร

ฉันมารู้ทีหลัง จากการดูคลิปรายการทอล์คโชว์ของสวีเดนชื่อ Skavlan ที่เชิญ Dave และ Taylor ไปออกรายการว่า ผู้ที่คอยประคองขาของ Dave ที่ฉันคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในคอนเสิร์ตครั้งนั้น แท้จริงแล้วเป็นถึงนายแพทย์เชียวนะ เนื่องจากทางรายการต้องการทำให้ Dave ประหลาดใจ เลยได้เชิญคุณหมอท่านนี้มาออกรายการด้วย ใครได้ดูรายการนี้ จะได้เห็นสีหน้าที่ดูกึ่งตกใจเหมือนคาดไม่ถึง กึ่งยินดีปรีดาของ Dave ตอนที่คุณ Skavlan ที่เป็นพิธีกร เชิญคุณหมอออกมาเพื่อให้ทั้งคู่ได้พบเจอกันอีกครั้ง จากนั้น Dave ก็เข้าไปโอบกอดทักทายคุณหมอราวกับได้เจอเพื่อนเก่า

จากการฟังการสัมภาษณ์ ทำให้รู้ว่า สาเหตุที่คุณหมอท่านนี้ ต้องมานั่งด้านหน้าและคอยประคองขาของ Dave เอาไว้ ก็เพราะว่าจะต้องทำให้กระดูกที่หักเข้ารูปเข้ารอย มีอยู่ช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ ขำมาก เพราะ Dave บอกว่า เขาจำสีหน้าของคุณหมอในตอนนั้นได้แม่นเลย เพราะหันหน้าประจันกัน แต่พอเล่นเพลงไปได้สักพัก เขาก็เห็นคุณหมอเริ่มเพลิดเพลิน เพราะมีออกอาการเอียงหน้าเอียงคอ ฮัมไปตามเพลง

Dave ยังได้บอกอีกด้วยว่า ที่เขารู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนั้นต่อไป เพราะคิดถึงคนที่อุตส่าห์เสียเงิน เสียเวลาในการเดินทางมาดูคอนเสิร์ต เพราะคนดูน่าจะคิดว่า อะไรกันฟระ คอนเสิร์ตเพิ่งเริ่มไปได้แค่ 8 นาที และเพิ่งแสดงแค่เพลงที่สองเท่านั้นก็มาเกิดเหตุการณ์นี้ เป็นอันจบการแสดงแล้วเรอะ นี่แหละ ทำให้เขายืนยันที่จะแสดงคอนเสิร์ตให้จบ

จริงอยู่ที่ในโลกใบนี้ มีนักดนตรีเก่งๆ อยู่มากมาย แต่จะมีนักดนตรีสักกี่คนกันหนอ ที่ความมุ่งมั่น ความสามารถ รวมไปถึงทัศนคติของเขา สามารถจับใจฉันได้ นอกเหนือไปจากการร้องเพลงและเล่นดนตรีให้ฉันเพลิดเพลินแล้ว การกระทำของเขายังถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้ฉันได้นึกถึง ทำให้ฉันเกิดความชื่นชม และเขายังได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เหล่าสาวกมากมายอีกด้วย

ฉันว่าฉันเกิดอาการรู้แจ้งและได้ค้นพบคนผู้นั้นแล้ว ชายผู้ประดุจผู้นำยานแม่…Dave Grohl ผู้นี้นี่เอง!

Source
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels

Comments