เมื่ออากาศหนาวมาเยือน คุณมีวิธีการรับมือกับความหนาวเหน็บอย่างไร วิธีธรรมดาสุดก็น่าจะเป็นการใส่เสื้อผ้าป้องกันความหนาว พันผ้าพันคอ สวมหมวก ใส่ถุงเท้า ใครที่มุ้งมิ้งหน่อย ก็อาจใช้ที่ครอบหูขนนุ่มฟูมาเป็นตัวช่วยกันหนาว ในขณะที่บางคนอาจเลือกซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ประหนึ่งสัตว์ในฤดูจำศีล และอาศัยความอบอุ่นจากฮีตเตอร์ในการช่วยบรรเทาความหนาวเย็น
สำหรับมนุษย์ที่มาจากประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างฉันนั้น เป็นผู้คุ้นชินกับสภาพอากาศร้อนชื้น การต้องมาใส่เสื้อผ้าหนาเตอะ แวดล้อมไปด้วยอุปกรณ์ เครื่องแต่งกายมากมายหลายชนิด ไม่ใช่สิ่งที่คนเขตร้อนชื้นอย่างฉันจะคุ้นชินได้ง่ายๆ และบางครั้งความร้อนจากฮีตเตอร์ ก็ทำให้ฉันเกิดอาการหวาดระแวง (แบบผิดๆ) ว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในเตาอบ
ดังนั้น วิธีแก้ความหนาวที่ง่ายที่สุดสำหรับคนอย่างฉันก็คือ การกิน ใช่แล้ว! ท่านทั้งหลาย การกินนี่แหละ ที่จะช่วยเยียวยาฉันจากทุกสิ่ง ดีใจ...ฉันก็กิน เสียใจ...ยิ่งต้องกิน กลุ้มใจ...ฉันก็ยังคงกิน อากาศหนาวเหรอ...กินๆ มันเข้าไปเถอะ แล้วจะหายหนาวเองแหละ
โพสต์ก่อนหน้านี้ของฉัน ได้กล่าวถึงร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งย่าน Chinatown ใน Seattle ที่ให้ความรู้สึกอิ่มท้องและอิ่มใจที่ได้กินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในโพสต์นี้ ฉันยังมีร้านอาหารจีนอีกแห่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การเขียน เพื่อให้ระลึกถึงช่วงเวลาที่ฉันใช้อาหารเป็นตัวช่วยในการแก้หนาว
ร้านอาหารจีนร้านนี้ ถ้าหน่วยความจำของฉันไม่ผิดพลาด น่าจะตั้งอยู่แถวถนน Broadway โดยร้านจะอยู่ชั้นสองของตึกแห่งหนึ่ง การค้นพบร้านนี้เป็นไปด้วยความบังเอิญ เกิดจากการที่ฉันไปซื้อของใช้ที่ร้าน Bartell Drugs ที่ตั้งอยู่ใกล้กันกับร้านนี้ พอเห็นว่ามีร้านอาหาร เลยคิดว่าลองเสี่ยงเข้าไปกินก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
ร้านแห่งนี้ มีขนาดเล็ก มีโต๊ะไว้สำหรับบริการลูกค้าแค่ 2 โต๊ะเท่านั้น ด้วยพื้นที่คับแคบของทางร้าน ทำให้ภายในเวลาต่อมา ถ้านึกอยากกินอาหารของร้านนี้ ฉันมักจะใช้วิธีขับรถไปที่ร้าน และสั่งกลับมากินที่บ้านแทน
ร้านนี้มีพนักงานสองคน เป็นคู่สามี-ภรรยาชาวจีน โดยสามีจะมีหน้าที่ทำอาหาร ส่วนภรรยาเป็นทั้งคนรับออเดอร์และคนคิดเงินอยู่หน้าเครื่องเก็บเงิน การไปเยือนร้านนี้ จะให้ความรู้สึกแตกต่างกับการไปกินข้าวที่ร้านป้าในโพสต์ก่อนอย่างสิ้นเชิง ถ้าเปรียบร้านป้าเป็นดั่งดนตรีแนว easy listening ร้านของคู่สามี-ภรรยาคู่นี้ น่าจะจัดอยู่ในแนวดนตรีประเภท punk rock เป็นแน่แท้
ความพีคอยู่ที่ตัวภรรยาผู้รับออเดอร์ ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบเข้าไปภายในร้าน ฉันจะได้ยินเสียงผู้เป็นภรรยา กำลังคุยโทรศัพท์ภาษาจีนอย่างออกรสออกชาติ ฟังไป อารมณ์เผือกก็บังเกิด พาให้นึกสงสัยว่า พี่เค้ากำลังคุยเรื่องอันใดกับเพื่อนร่วมชาติที่อยู่ทางปลายสายกันหนอ ถึงได้ออกสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงที่ดูฮาร์ดคอร์เยี่ยงนั้น
อ๊ะ อ๊ะ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าคุณพี่เค้ามีกิริยาหยาบคาย ไร้มารยาทนะ เพียงแต่เค้าเป็นคนคุยเสียงดัง และออกอารมณ์อย่างชัดเจนก็เท่านั้นเอง อนึ่ง จากการเฝ้าเผือก เอ๊ย! เฝ้าสังเกตของฉัน ทำให้ได้ข้อสรุปว่า คุณพี่ผู้หญิงท่านนี้ มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนโทนเสียงได้อย่างรวดเร็วซะด้วย เพราะแม้เธอจะใส่อารมณ์ในการคุยโทรศัพท์กับปลายสายเพียงใด เวลามีลูกค้ามา เธอจะหันเหจากกระบอกโทรศัพท์มาพูดกับลูกค้าด้วยโทนเสียงสองได้อย่างไหลลื่น ไม่มีติดขัด
ได้เห็นความสามารถอันน่าทึ่งของเธอในการแยกแยะน้ำเสียงที่ใช้พูดกับเพื่อนทางโทรศัพท์ และพูดกับลูกค้าแล้ว ทำให้ฉันชื่นชอบบุคลิกของเธอ บวกกับรสชาติอาหารที่สามีของเธอทำก็อร่อยใช้ได้ ฉันเลยติดใจ และปวารณาตัวเป็นลูกค้าขาประจำของร้านเธอภายในเวลาไม่นาน
เมนูประจำที่ฉันสั่ง คือ ไก่ผัดถั่วลันเตา ซึ่งเมนูนี้ ไม่เคยอยู่ในสารบบความนึกคิดของฉันมาก่อน แต่วันหนึ่ง ขณะที่เข้าร้านเพื่อมารับอาหารที่สั่งไว้ ก็เห็นฝรั่งคนหนึ่งกำลังนั่งกินเจ้าไก่ผัดถั่วลันเตาอยู่ ดูท่าทางน่าอร่อย ฉันเลยจดจำเมนูนี้ไว้ในใจ และกลับมาสั่งกินในครั้งต่อไป และในที่สุด เมนูนี้ก็ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในเมนูโปรดประจำตัวฉัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจไม่ลืม คือ ร้านนี้ทำซุปไข่อร่อยมาก หน้าตาของอาหารชนิดนี้ ก็เหมือนซุปไข่ของจีนทั่วไปแหละ เป็นซุปใส มีความเหนียวจากแป้งที่ใส่ผสมในน้ำซุปเล็กน้อย และตีไข่ให้ไข่ขาวและไข่แดงกระจายไปทั่ว ได้กินครั้งแรก ก็ติดใจจนต้องสั่งทุกครั้งที่มาร้านนี้
ความเป็นขาประจำของฉัน สามารถวัดได้จากการที่คุณพี่ผู้หญิงฮาร์ดคอร์จำฉันได้ และยังสามารถจดจำเมนูที่ฉันสั่งเป็นประจำได้อีกด้วย บางครั้งไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เพื่อรอสั่งอาหารกับคุณพี่ ยังไม่ทันเอ่ยปาก คุณพี่ผู้หญิงก็พูดเมนูประจำตัวฉันขึ้นมาเลย บางวันฉันลืมสั่งซุปไข่ คุณพี่ยังถามอีกว่า วันนี้ไม่เอาซุปเหรอ
ส่วนพี่ผู้ชาย สามีของเธอนั้น บุคลิกท่าทางดูจะเป็นคนเงียบๆ (พี่เค้าอาจคิดว่า เพื่อความสงบสุขในชีวิต ตูว่าตูทำอาหารไปเงียบๆ แบบนี้ดีกว่า ถ้าต้องเถียงกัน ก็มีเค้าลางว่าอาจเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้ภรรยา) มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ผู้หญิงไม่ได้มาที่ร้าน พี่ผู้ชายต้องรับหน้าที่ทั้งทำกับข้าว ทั้งรับออเดอร์ ทำให้การไปที่ร้านในวันนั้นของฉัน เหมือนจะขาดอะไรไปบางอย่าง ทั้งๆ ที่ก็ได้อาหารที่ต้องการกลับมาครบถ้วน เมื่อลองมานั่งนึกดู ก็เลยคิดได้ว่า ไอ้ที่ขาดไป ไม่ใช่อาหารหรอก แต่เป็นการได้ฟังเสียงคุยโทรศัพท์แบบใส่อารมณ์เต็มที่ของพี่ผู้หญิงต่างหากเล่า
บางครั้งคุณพี่ทั้งสองก็จำเป็นต้องพาลูกมาอยู่ที่ร้านด้วย ฉันก็จะได้เห็นลูกสาวและลูกชายของทั้งคู่ มานั่งทำการบ้านที่หนึ่งในสองโต๊ะภายในร้านบ้าง หรือบางทีลูกก็จะเข้าไปป้วนเปี้ยนในครัวบ้าง การได้รับรู้ว่าทั้งคู่มีลูกสองคนที่ต้องเลี้ยงดู ทำให้บางครั้งฉันก็ให้ทิปกับคุณพี่ผู้หญิงในเวลาที่จ่ายเงินไปบ้าง (เนื่องจากร้านนี้ไม่ใช่ร้านประเภทที่จำเป็นจะต้องให้ทิปในเวลาจ่ายเงิน) เมื่อใดที่ฉันให้ทิป คุณพี่ผู้หญิงจะใช้เสียงสองจุดห้ากับฉัน (เป็นระดับที่นุ่มนวลกว่าโทนเสียงสองของเธอ)
นอกจากอาหารที่รสชาติใช้ได้แล้ว การได้เฝ้ามอง สังเกตชีวิตความเป็นไป และบรรยากาศภายในร้านนี้ ก็ยังช่วยเพิ่มสีสันในวันที่อากาศหม่นๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดูแล้วเหมือนฉันจะผิดปกตินิดๆ ที่ชื่นชอบที่จะได้เห็นและได้ (แอบ) ฟังการคุยโทรศัพท์ของคุณพี่ ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม ราวเสียงบ่นของคุณพี่นั้น เป็นแนวดนตรีประเภทอึกทึก ครึกโครม ช่วยให้ฉันใช้ชีวิตต่อไปภายในเมืองแห่งนี้ได้อย่างไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง คือ การไม่ได้บอกกล่าวกับคุณพี่ว่า ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับประเทศ กลับบ้านของฉันแล้วนะ คงไม่ได้มากินซุปไข่และไก่ผัดถั่วลันเตาของร้านคุณพี่อีกแล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าหากเราได้ร่ำลากัน คุณพี่ผู้หญิงฮาร์ดคอร์ท่านนี้จะเอ่ยคำร่ำลากับฉันด้วยโทนเสียงสองของเธอหรือไม่
Comments
Post a Comment