I hardly played the piano in my high school and undergraduate years. After a lengthy hiatus, it’s about time I got back into this beautiful instrument.
I am so grateful to have met a teacher who gives me an unforgettable memory and shows me a different perspective on playing piano.
อย่างที่เคยได้เล่าไปบ้างแล้วในภาคแรกว่าฉันหยุดเรียนเปียโนไปตั้งแต่สมัยมัธยมปลายและหยุดยาวต่อเนื่องไปจนถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย
ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเริ่มต้นทำงาน ซึ่งเวลานั้นเริ่มรู้สึกคิดถึงการเล่นเปียโนขึ้นมา
จนมีความคิดอยากกลับไปเรียนอีกครั้ง
ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ที่เป็นผู้ตามเสาะหาคุณครูสอนเปียโนคนใหม่ ทำให้ฝันของฉันเป็นจริงขึ้นมา ได้มีโอกาสกลับไปเป็นนักเรียนตามที่ใจต้องการ จำได้ว่าหลังจากแม่ได้เบอร์โทรศัพท์ของครูและได้ทำการคุยติดต่อกันกับครูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิตย์ต่อมา แม่ก็พาฉันกับน้องไปที่บ้านของครูเลย เนื่องจากการเรียนกับคุณครูท่านนี้ เป็นการไปเรียนที่บ้านครู ไม่ได้เรียนอยู่ที่บ้านตัวเองเหมือนตอนเรียนกับครูท่านแรก เลยต้องมีการไปพูดคุย ให้ครูได้เห็นหน้าตาและทำความรู้จักกับ (ว่าที่) ลูกศิษย์กันก่อน
ความประทับใจแรกในการกลับมาเรียนอีกครั้ง น่าจะเป็นตอนที่เดินเข้าไปในห้องแล้วเห็นเปียโนของครูที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายใน ให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังอยู่ในสตูดิโอ อีกสิ่งที่น่าประทับใจในการได้เรียนครั้งแรกกับครูท่านที่สองนี้ คือ ท่วงท่าที่สง่างามในยามบรรเลงดนตรีของครู จนฉันรู้สึกประหนึ่งกำลังชมคอนเสิร์ตแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว อะไรประมาณนั้นเลยนะ การวางมือบนคีย์เปียโนที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล หรือจะเป็นตอนที่ครูพรมนิ้วบรรเลงบทเพลงที่จะเรียนให้ฉันได้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าให้เปรียบเทียบแบบพอจะให้เห็นภาพตามและรู้สึกได้ ก็น่าจะเหมือนเรากำลังละเลียดวิปครีมใน Matcha Toast ของ After You มันจะนุ่มๆ ละมุนลิ้น ประมาณนั้น (นี่แกกำลังหิวอยู่ใช่มะ บอกมา)
การเรียนในช่วงนี้ จะได้เรียนเพลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้น (แปลว่ายากขึ้น) เพลงยากๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เรียนก็ได้เรียน หรือบางเพลงก็เป็นเพลงที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ฉันตื่นเต้นและแอบลุ้นอยู่ในใจกับเพลงใหม่ๆ ที่ครูคัดสรรมาให้เรียน และนี่คือรายชื่อเพลงบางส่วนที่ฉันเคยเรียนในตอนนั้น
1. รัก (ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง: สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี)
นี่เป็นบทเพลงที่เหนือความคาดหมาย แต่ไหนแต่ไรมา ฉันไม่เคยกล้าเล่นเพลงพระราชนิพนธ์ เพราะรู้สึกเสมอว่าเป็นของสูง ที่มาของบทเพลงนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระเทพฯ เป็นผู้ประพันธ์บทกลอนไว้ในขณะทรงพระเยาว์ ต่อมาในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นผู้พระราชนิพนธ์ทำนองเพลง ทำให้เกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา การได้รู้จักและได้เรียนเพลงนี้ ทำให้ฉันชื่นชมในพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีของในหลวง รัชกาลที่ 9 ของพวกเราชาวไทยมากยิ่งขึ้นไปอีก รวมไปถึงรู้สึกทึ่งในพระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาของสมเด็จพระเทพฯ เป็นอย่างมาก
2. The Well-Tempered Clavier: Book I, Prelude and Fugue No. 1 in C Major, BWV 846 (Bach)
แค่พิมพ์ชื่อเพลงให้ครบถ้วนก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว เพลงนี้ฉันจำได้รางๆ ว่าเคยได้ยินมาก่อน ก่อนที่จะมีโอกาสได้เรียนเป็นจริงเป็นจัง จำได้แค่ว่าเป็นเพลงที่ใช้ประกอบโฆษณา เหมือนว่าตัวนักแสดงในโฆษณาชิ้นนั้นขี่จักรยานมั้ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นโฆษณาอะไร ซึ่งอาจารย์ผู้สอนวิชาการตลาดในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยกล่าวไว้ว่า กรณีแบบนี้ถือเป็นความล้มเหลวของนักโฆษณา เพราะผู้ชมไม่สามารถจดจำตัวสินค้าได้ ซึ่งเอาจริงๆ ฉันว่ามันอาจจะผิดที่เป็นอย่างนี้...(เอ๊ะ! เพลงพี่ตูนมายังไง ไม่ใช่แล้ว กลับมาเต๊อะ) ฉันว่ามันอาจเป็นความผิดของคนดูแบบฉันมากกว่านะ แทนที่จะจำตัวสินค้า กลับจำได้แต่ตัวเรื่องราวในโฆษณา แหะๆ และสืบเนื่องจากภาพจำในโฆษณาตัวนี้ ทำให้เวลาฉันซ้อมเพลงนี้ จะต้องนึกถึงภาพคนกำลังขี่จักรยาน ชมนกชมไม้ ซึ่งอารมณ์เพลงมันก็ได้นะ ฟังแล้วสบายๆ
3. Santa Lucia (Cottrau)
เพลงนี้เป็นเพลงภาษาอิตาเลี่ยน พอเรียนแล้วกลับมาซ้อมที่บ้าน แม่ได้ยินเลยเล่าให้ฟังว่าเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร แม่ดูจะชื่นชอบที่ฉันได้เรียนเพลงนี้ ส่วนฉันก็ชอบเพลงนี้ เพราะทำนองเพลงอันไพเราะและเป็นเพลงที่ไม่ค่อยยาวมาก เวลาเล่นเพลงนี้ มักจะมีเสียงร้องของแม่คลอตามช่วงท่อนท้ายของเพลงทุกที (เดาว่าที่แม่ร้องแต่ท่อนนี้ เพราะจำเนื้อร้องท่อนอื่นที่เป็นภาษาอิตาเลี่ยนไม่ได้ และจะใช้วิธีดำน้ำเหมือนที่เคยทำเป็นประจำเวลาร้องเพลง ก็คงไม่รู้จะดำยังไง เพราะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) ดังนั้น เวลาเล่นเข้าตอนสุดท้ายของเพลงนี้เมื่อไหร่ ฉันจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจในการได้ยิน “Santaaaaa…Luciaaaaa….” เสียงสูงๆ ราวกับนักร้องโอเปราจากแม่ทุกครั้งไป
4. Träumerei, Kinderszenen Op. 15, No. 7 (Schumann)
คำว่า “Kinderszenen” เป็นภาษาเยอรมัน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Scenes from Childhood” โดย Schumannได้ประพันธ์เพลงเซตนี้ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 13 เพลง เพลงนี้อยู่ในลำดับที่ 7 ส่วนชื่อเพลง “Träumerei” นั้น แปลได้ว่า “Dreaming” และฉันคิดว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเพลงมาก เพราะเล่นแล้วเหมือนกำลังฝันๆ ล่องลอยดี (แต่ถ้าเล่นผิดหรือเล่นแล้วฟังไม่เพราะ ก็น่าจะเป็น nightmare สำหรับคนฟังนะ)
5. Fantasie-Impromptu (Chopin)
เพลงนี้เป็นอะไรที่ยากและยาวมาก โดยเฉพาะในช่วงต้นของเพลงที่พอเล่นแล้ว ฉันจะรู้สึกแอบเคือง Chopin เป็นบางครั้งว่าทำไมถึงแต่งเพลงยากอะไรเช่นนี้ แต่ทั้งๆที่เคือง ก็ยังคงชื่นชมความเก่งของ Chopin นะ ท่อนที่ทำให้อารมณ์เคืองของฉันลดลงคือท่อนที่จังหวะเพลงเปลี่ยนเป็น Largo และในที่สุด Chopin ก็สามารถทำให้ฉันเปลี่ยนใจหันมาชอบเพลงนี้ก็ตรงท่อนที่จังหวะเพลงเป็น Moderato Cantabile (ในส่วนของท่อนรัวเร็วในตอนต้นของเพลงที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์อย่างฉันนั้น ขอตั้งชื่อเฉพาะให้ท่อนนี้ว่า “Crazy-Impromptu” ละกัน เล่นไปเล่นมา อาจมีอาการลมปราณแตกซ่าน วิปลาสโดยไม่คาดฝันเอาได้ง่ายๆ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพลงของ Chopin ที่ฉันชอบที่สุด ก็ยังคงเป็นเพลงที่ฟังแล้วเคลิ้มอย่าง Nocturne in E-flat Major, Op. 9, No. 2 ซึ่งเพลงนี้ Chopin แต่งตอนอายุประมาณ 20 ปี เป็นเพลงที่โด่งดัง รู้จักกันอย่างแพร่หลาย (และก็เล่นยากตามสไตล์ Chopin)
6. Nahan (Ernani J. Cuenco)
เพลงนี้แต่งโดยนักแต่งเพลงชาวฟิลิปปินส์ ไม่เคยได้ยินและไม่เคยรู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่พอได้เล่นแล้วก็ชอบมากเพราะได้ประจักษ์แจ้งถึงความไพเราะของเพลงนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่กระดิกภาษาตากาล็อก เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าเนื้อเพลงกล่าวถึงอะไร แต่ถึงจะไม่เข้าใจเนื้อหาของเพลงนี้ แค่ได้ฟังทำนองเพลงก็รู้สึกเคลิ้มไปกับความนุ่มนวล ชวนฝันแล้ว นี่แหละนะ เป็นจริงอย่างที่เค้าบอกกันว่า ดนตรีเป็นภาษาสากลสำหรับมวลมนุษย์ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปเข้าใจในเนื้อหาของเพลงหรอกว่ากำลังพูดถึงอะไร แค่ “feel” ได้ถึงอารมณ์เพลงก็น่าจะฟินได้แล้ว
ระยะเวลาในการกลับมาเป็นนักเรียนเปียโนหนที่สองในชีวิตของฉัน นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในระหว่างช่วงเวลานั้น มีสิ่งที่น่าประทับใจมาก คือ การที่ฉันได้มีโอกาสไปดูการแสดงเปียโนของครู ที่จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรม เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะถือเป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ไปดูการแสดงดนตรีที่ดูเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น จำได้ว่าในครั้งนั้น พ่อกับแม่ก็ได้ไปดูด้วยกัน เพลงที่ครูเล่นและฉันยังรู้สึกประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นบทเพลงที่ฉันใช้เวลาในการสืบเสาะ ค้นหาชื่อเพลงอยู่นานมาก ตอนที่ได้ฟังครูเล่น รู้สึกเหมือนครูได้นำพาความคุ้นเคยเก่าๆ ความทรงจำในวัยเด็กของฉันกลับมาด้วย
เพลงนี้เป็นเพลงคุ้นหูที่เคยได้ยินได้ฟังในตอนเด็กเสมอ จำได้อย่างเลือนรางว่าเพลงนี้เคยเป็นเพลงประกอบรายการหนึ่ง ทางช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ แต่ด้วยความเป็นเด็ก เลยไม่ได้มีความใส่ใจมากพอที่จะจดจำชื่อเพลงที่จะต้องได้ยินในทุกอาทิตย์ (เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า อย่าได้ละเลยกับบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นความคุ้นชิน โอ๊ะ! ทำไมไปทางปรัชญาละเธอ กลับมาเถอะ คนอ่านคงเอือมแล้วนะ) หลังการแสดงจบ ฉันก็ได้ถามพ่อกับแม่ว่า พอจะรู้ชื่อเพลงนี้ที่ครูเล่นมั้ยว่าชื่ออะไร แต่ก็ไม่มีใครนึกออก
จวบจนเวลาได้ผ่านไปอีกหลายปี เพลงที่ยังนึกชื่อไม่ออกเพลงนี้ ก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ ฉันเคยกลับมาถามแม่อีกครั้ง โดยต้องเท้าความถึงการแสดงดนตรีในครั้งนั้นของครู เพื่อให้แม่สามารถนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นได้ และบอกแม่เพิ่มเติมไปด้วยว่า เป็นเพลงทำนองไทยๆ หลังจากที่แม่พยายามนั่งนึกสักพัก แม่ก็พูดขึ้นมาว่า รู้แล้ว น่าจะชื่อเพลง ต้นวรเชษฐ์ ฉันก็แสนจะดี๊ด๊า รีบไปค้นดูใน YouTube แต่ก็ต้องผิดหวังหูลู่กลับมา เพราะนั่นไม่ใช่เพลงที่กำลังตามหา
หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักในการขุดความทรงจำขึ้นมา ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงต้นเพลงของเพลงนี้จะฟังแล้วคล้ายๆ กับเพลงของวง F4 ชื่อเพลง 絕不能失去你 (อ่านว่า “Jue Bu Neng Shi Qu Ni” หรือชื่อในภาษาอังกฤษ คือ “Can’t Lose You”) มาถึงจุดนี้ เห็นทีจะต้องทำการอธิบายเพิ่มเติม เผื่อใครไม่คุ้นกับวงดนตรีวงนี้ ก็ถือซะว่าจะได้รู้จักวงดนตรีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวงก็แล้วกันนะ
F4 เป็นวงดนตรีจากประเทศไต้หวัน ที่โด่งดังเป็นอย่างมากในเมืองไทย เรียกได้ว่าดังระเบิดระเบ้อในช่วงที่ช่อง 3 นำละคร เรื่อง “รักใสใส หัวใจสี่ดวง” มาออกอากาศ (ใครเกิดทันได้ดูเวอร์ชันนี้บ้าง ถ้าพอคุ้นๆ แสดงว่าเราก็น่าจะรุ่นใกล้เคียงกันนะ 555) ยังพอจำกันได้หรือไม่ ซันไช่กับเต้าหมิงซื่อไง เล่นเอาคนกรี๊ดกร๊าดกันทั่วบ้านทั่วเมืองไปพักนึงเลยทีเดียว (และแน่นอนว่าติ่งอย่างฉันก็ไม่พลาด แต่คนโปรดของฉันกลับไม่ใช่พระเอกหรือนางเอก แต่เป็น ฮัวเจ๋อเล่ย ที่หน้านิ่งๆ ตลอดทั้งเรื่อง)
นอกเรื่องอีกตามเคย กลับมาเรื่องเพลง ท่อนที่คล้ายกันของเพลงนี้กับเพลงไทยที่ตามหา (อันนี้มันอาจจะคล้ายแค่ในความรู้สึกฉันคนเดียวก็เป็นได้) มันจะร้องว่า “Oh baby baby baby, my baby baby” แต่มันจะคล้ายกันแค่ตรงสามคำแรกเท่านั้น คือ ตรง “Oh baby baby” โอ๊ย! ทำไมมันช่างยากเย็นอะไรปานนี้ กับการพยายามนึกถึงเพลงแค่เพลงเดียว พอจะเข้าใจฉันมั้ย ถึงจะสามารถคิดทำนองออก แต่ถ้าไม่รู้ชื่อเพลงก็หาไม่เจออยู่ดีว่าคือเพลงอะไร ณ จุดนี้ ถ้าใครสามารถรู้ว่าเพลงที่ฉันกำลังตามหาคือเพลงอะไร ข้าน้อยขอคารวะ (ส่วนใครที่ไม่รู้ หรือไม่อยากอ่านแล้ว จะขอจรลีไปก่อนก็ไม่ว่ากัน)
หลังจากการนึกทำนองเพลงได้ตามความทรงจำอันจำกัดจำเขี่ยของฉัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ทราบชื่อเพลงขึ้นมาได้ ฉันเลยเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการมานั่งนึกชื่อรายการที่ฉันคุ้นๆ แทน ว่ารายการอะไรหนอที่ใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบ คิดไปคิดมา บวกกับการค้นหาจากกูรู ก็มาสะดุดที่รายการกระจกหกด้าน อารมณ์ประมาณเหมือนจะได้พบคนที่ใช่ แต่มันก็ยังไม่ใช่ พอค้นไปค้นมาเรื่อยๆ ก็มาเจอกับอีกรายการหนึ่ง คือ รายการชีพจรลงเท้า พอลองกด search ดู และแล้วก็โป๊ะเชะ! Bingo! ใช่เลย ในที่สุด ฉันก็ได้รู้ว่าเพลงที่ตามหามานานนี้ มีชื่อเดียวกับชื่อรายการเลย ชื่อเพลง ชีพจรลงเท้า ผู้ประพันธ์คือ อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล นักดนตรี นักประพันธ์เพลงที่มีความสามารถด้านดนตรีเป็นที่น่าชื่นชมคนหนึ่งของเมืองไทย
อ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีคำถามจากเด็กยุคนี้ว่า อาจารย์ดนู คือใครกัน เลยอยากถือโอกาสนี้แนะนำให้เด็กๆ รุ่นใหม่ (ใหม่กว่าฉัน ขอใช้คำนี้ละกันนะ เพื่อให้ความสะเทือนใจในความมีอายุของตัวเองลดลงนิดนึง) และคนที่ยังไม่รู้จักท่าน ได้ทำความรู้จักกับนักประพันธ์เพลงมากความสามารถชาวไทยท่านนี้กันสักหน่อย
อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล เป็นผู้ก่อตั้งวงดนตรีเครื่องสายชื่อวงไหมไทย บอกชื่อวงไปแล้วบางคนก็อาจจะยังไม่คุ้นถ้าไม่ใช่คอเพลงแนวนี้ เอาเป็นว่าขอแนะนำให้ไปลองฟังเพลงที่ทำให้ฉันรู้จักอาจารย์ดนูเป็นครั้งแรกก็แล้วกัน ชื่อเพลง “ไอ้หนุ่มผมยาว” เพลงนี้อาจารย์เป็นผู้ประพันธ์ทั้งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงเองทั้งหมด ขับร้องโดยคุณสุรชัย สมบัติเจริญ แนวเพลงจะฟังแล้วดูย้อนยุค แต่ไม่เชยนะ เพลงนี้ถือเป็นหนึ่งในเพลงดังสำหรับพวกที่เริ่มจะเข้าสู่ยุคกลางอย่างฉัน (กลาง คือ วัยกลางคน โวะ! แกจะตอกย้ำความแก่ของตัวเองไปเพื่ออะไรกัน) คนยุคกลางน่าจะเคยรู้จักหรือเคยผ่านหูกับเพลงนี้ เพราะเป็นอะไรที่ติดหูกับท่อน “เพียงเจอไอ้หนุ่มผมยาว น้องสาวก็ลืมพี่หมดสิ้น” ท่อนที่ฉันชอบมาก มีเนื้อร้องว่า “อกพี่ร้าวดังลูกมะพร้าวตกดิน” (มันให้ความรู้สึกอินไปกับเพลงจนเหมือนจะได้ยินเสียง “โพละ” ของลูกมะพร้าวที่ตกดินเลย) พร้อมกับการคร่ำครวญตามมาว่า “โฮ โฮ้โห่โฮ้โฮ โฮโห่ โฮ้โห่โฮ้โฮ โฮโห่ เจ้าศิลปินผมยาว” 555 ได้อารมณ์มาก ชอบจริงๆ เลยเพลงนี้ โดนตั้งแต่เสียงดนตรีตอนเพลงขึ้นมาแล้ว
มาต่อกันที่เพลงชีพจรลงเท้าของอาจารย์ดนู เมื่อในที่สุด ฟ้าเมตตา ให้ฉันได้รู้ชื่อเพลงนี้ซะที แน่นอนว่าฉันต้องดีใจสุดขีด เข้าใจมะ อารมณ์จะเหมือนประมาณการตามหาการ์ตูนเล่มที่อยากอ่านมานานมาก แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ จำได้แต่หน้าปกคร่าวๆ ไปหาที่ร้านไหนก็ไม่เจอซะที แล้ววันหนึ่งที่เหมือนฟ้ามาโปรด ก็ได้เจอการ์ตูนเล่มนี้ บอกได้คำเดียวว่า ฟินจนไม่มีอะไรจะมาเทียบได้ (เอิ่ม! นี่มันเกินคำเดียวไปเยอะเลยนะแก)
ซึ่งความยุ่งยากทั้งหมดนี้ มันจะไม่เกิดขึ้นเลย เพียงแค่ฉันนึกได้ว่า สามารถถามเอากับครูได้นี่นา (แหม! กว่าแกจะคิดได้ มันผ่านมากี่ปีแล้วละนี่) ด้วยความอุตสาหะไม่ย่อท้อในทางที่ผิดของฉันนี้ ทำให้เวลาที่ฉันคิดถึงเพลงชีพจรลงเท้า และเปิดเพลงนี้ฟังครั้งใด จะต้องนึกถึงครูท่านนี้ไปด้วยในทุกครั้งเหมือนอะไรที่มาคู่กันเสมอ คิดถึงท่วงท่าอันสง่างามในยามที่ครูทำการแสดงดนตรีให้ผู้ชมฟัง คิดถึงความนุ่มนวลในการพรมนิ้วมือเพื่อบรรเลงบทเพลงอันแสนไพเราะจับใจ ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดี น่าประทับใจแบบไม่มีวันลืมเลือนที่ฉันได้รับจากคุณครูท่านนี้
ปัจจุบันนี้ ฉันยังคงติดต่อกับคุณครูท่านนี้อยู่ สำหรับฉันแล้ว นอกเหนือไปจากการให้ความรู้ในด้านดนตรี ครูยังเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ดี เป็นหนึ่งในกำลังใจสำคัญยามที่ฉันอยู่ห่างไกลบ้าน เพราะครูเป็นบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ฉันยังใช้วิธีติดต่อกันโดยการเขียนจดหมาย (จดหมายในที่นี้ หมายถึง การเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยลายมือของฉันเองลงในกระดาษเขียนจดหมายลายสวยๆ ที่ผ่านการเลือกเฟ้นมาอย่างดีแล้ว ติดสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ลงไปในกระดาษบ้างในบางครั้ง เขียนเสร็จเรียบร้อยก็ใส่ซอง ติดแสตมป์ แล้วส่งทางไปรษณีย์จริงๆ ไม่ใช่ email หรือ message ที่ใช้วิธีพิมพ์จากคอมพิวเตอร์หรือจิ้มแป้นรัวๆ ในมือถือ)
เมื่อใดที่ได้นัดพบเจอกันกับครู เพื่อพูดคุย ไถ่ถามทุกข์สุข บอกเล่าเรื่องราว เล่าสู่กันฟัง ฉันจะมีความสุขทุกครั้ง รู้สึกว่าฉันช่างโชคดีที่ได้พบและรู้จักครูท่านนี้ ดีใจมากที่ครั้งหนึ่งเคยได้นั่งเรียนเปียโนที่บ้านครู อยากขอบคุณครูมากสำหรับความรู้ คำสั่งสอน คำแนะนำ กำลังใจที่ได้รับมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ขอบคุณนะคะ คุณครู
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels
ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ที่เป็นผู้ตามเสาะหาคุณครูสอนเปียโนคนใหม่ ทำให้ฝันของฉันเป็นจริงขึ้นมา ได้มีโอกาสกลับไปเป็นนักเรียนตามที่ใจต้องการ จำได้ว่าหลังจากแม่ได้เบอร์โทรศัพท์ของครูและได้ทำการคุยติดต่อกันกับครูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิตย์ต่อมา แม่ก็พาฉันกับน้องไปที่บ้านของครูเลย เนื่องจากการเรียนกับคุณครูท่านนี้ เป็นการไปเรียนที่บ้านครู ไม่ได้เรียนอยู่ที่บ้านตัวเองเหมือนตอนเรียนกับครูท่านแรก เลยต้องมีการไปพูดคุย ให้ครูได้เห็นหน้าตาและทำความรู้จักกับ (ว่าที่) ลูกศิษย์กันก่อน
ความประทับใจแรกในการกลับมาเรียนอีกครั้ง น่าจะเป็นตอนที่เดินเข้าไปในห้องแล้วเห็นเปียโนของครูที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายใน ให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังอยู่ในสตูดิโอ อีกสิ่งที่น่าประทับใจในการได้เรียนครั้งแรกกับครูท่านที่สองนี้ คือ ท่วงท่าที่สง่างามในยามบรรเลงดนตรีของครู จนฉันรู้สึกประหนึ่งกำลังชมคอนเสิร์ตแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว อะไรประมาณนั้นเลยนะ การวางมือบนคีย์เปียโนที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล หรือจะเป็นตอนที่ครูพรมนิ้วบรรเลงบทเพลงที่จะเรียนให้ฉันได้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าให้เปรียบเทียบแบบพอจะให้เห็นภาพตามและรู้สึกได้ ก็น่าจะเหมือนเรากำลังละเลียดวิปครีมใน Matcha Toast ของ After You มันจะนุ่มๆ ละมุนลิ้น ประมาณนั้น (นี่แกกำลังหิวอยู่ใช่มะ บอกมา)
การเรียนในช่วงนี้ จะได้เรียนเพลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้น (แปลว่ายากขึ้น) เพลงยากๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เรียนก็ได้เรียน หรือบางเพลงก็เป็นเพลงที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ฉันตื่นเต้นและแอบลุ้นอยู่ในใจกับเพลงใหม่ๆ ที่ครูคัดสรรมาให้เรียน และนี่คือรายชื่อเพลงบางส่วนที่ฉันเคยเรียนในตอนนั้น
1. รัก (ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง: สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี)
นี่เป็นบทเพลงที่เหนือความคาดหมาย แต่ไหนแต่ไรมา ฉันไม่เคยกล้าเล่นเพลงพระราชนิพนธ์ เพราะรู้สึกเสมอว่าเป็นของสูง ที่มาของบทเพลงนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระเทพฯ เป็นผู้ประพันธ์บทกลอนไว้ในขณะทรงพระเยาว์ ต่อมาในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นผู้พระราชนิพนธ์ทำนองเพลง ทำให้เกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา การได้รู้จักและได้เรียนเพลงนี้ ทำให้ฉันชื่นชมในพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีของในหลวง รัชกาลที่ 9 ของพวกเราชาวไทยมากยิ่งขึ้นไปอีก รวมไปถึงรู้สึกทึ่งในพระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาของสมเด็จพระเทพฯ เป็นอย่างมาก
2. The Well-Tempered Clavier: Book I, Prelude and Fugue No. 1 in C Major, BWV 846 (Bach)
แค่พิมพ์ชื่อเพลงให้ครบถ้วนก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว เพลงนี้ฉันจำได้รางๆ ว่าเคยได้ยินมาก่อน ก่อนที่จะมีโอกาสได้เรียนเป็นจริงเป็นจัง จำได้แค่ว่าเป็นเพลงที่ใช้ประกอบโฆษณา เหมือนว่าตัวนักแสดงในโฆษณาชิ้นนั้นขี่จักรยานมั้ง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นโฆษณาอะไร ซึ่งอาจารย์ผู้สอนวิชาการตลาดในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยกล่าวไว้ว่า กรณีแบบนี้ถือเป็นความล้มเหลวของนักโฆษณา เพราะผู้ชมไม่สามารถจดจำตัวสินค้าได้ ซึ่งเอาจริงๆ ฉันว่ามันอาจจะผิดที่เป็นอย่างนี้...(เอ๊ะ! เพลงพี่ตูนมายังไง ไม่ใช่แล้ว กลับมาเต๊อะ) ฉันว่ามันอาจเป็นความผิดของคนดูแบบฉันมากกว่านะ แทนที่จะจำตัวสินค้า กลับจำได้แต่ตัวเรื่องราวในโฆษณา แหะๆ และสืบเนื่องจากภาพจำในโฆษณาตัวนี้ ทำให้เวลาฉันซ้อมเพลงนี้ จะต้องนึกถึงภาพคนกำลังขี่จักรยาน ชมนกชมไม้ ซึ่งอารมณ์เพลงมันก็ได้นะ ฟังแล้วสบายๆ
3. Santa Lucia (Cottrau)
เพลงนี้เป็นเพลงภาษาอิตาเลี่ยน พอเรียนแล้วกลับมาซ้อมที่บ้าน แม่ได้ยินเลยเล่าให้ฟังว่าเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร แม่ดูจะชื่นชอบที่ฉันได้เรียนเพลงนี้ ส่วนฉันก็ชอบเพลงนี้ เพราะทำนองเพลงอันไพเราะและเป็นเพลงที่ไม่ค่อยยาวมาก เวลาเล่นเพลงนี้ มักจะมีเสียงร้องของแม่คลอตามช่วงท่อนท้ายของเพลงทุกที (เดาว่าที่แม่ร้องแต่ท่อนนี้ เพราะจำเนื้อร้องท่อนอื่นที่เป็นภาษาอิตาเลี่ยนไม่ได้ และจะใช้วิธีดำน้ำเหมือนที่เคยทำเป็นประจำเวลาร้องเพลง ก็คงไม่รู้จะดำยังไง เพราะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) ดังนั้น เวลาเล่นเข้าตอนสุดท้ายของเพลงนี้เมื่อไหร่ ฉันจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจในการได้ยิน “Santaaaaa…Luciaaaaa….” เสียงสูงๆ ราวกับนักร้องโอเปราจากแม่ทุกครั้งไป
4. Träumerei, Kinderszenen Op. 15, No. 7 (Schumann)
คำว่า “Kinderszenen” เป็นภาษาเยอรมัน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Scenes from Childhood” โดย Schumannได้ประพันธ์เพลงเซตนี้ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 13 เพลง เพลงนี้อยู่ในลำดับที่ 7 ส่วนชื่อเพลง “Träumerei” นั้น แปลได้ว่า “Dreaming” และฉันคิดว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเพลงมาก เพราะเล่นแล้วเหมือนกำลังฝันๆ ล่องลอยดี (แต่ถ้าเล่นผิดหรือเล่นแล้วฟังไม่เพราะ ก็น่าจะเป็น nightmare สำหรับคนฟังนะ)
5. Fantasie-Impromptu (Chopin)
เพลงนี้เป็นอะไรที่ยากและยาวมาก โดยเฉพาะในช่วงต้นของเพลงที่พอเล่นแล้ว ฉันจะรู้สึกแอบเคือง Chopin เป็นบางครั้งว่าทำไมถึงแต่งเพลงยากอะไรเช่นนี้ แต่ทั้งๆที่เคือง ก็ยังคงชื่นชมความเก่งของ Chopin นะ ท่อนที่ทำให้อารมณ์เคืองของฉันลดลงคือท่อนที่จังหวะเพลงเปลี่ยนเป็น Largo และในที่สุด Chopin ก็สามารถทำให้ฉันเปลี่ยนใจหันมาชอบเพลงนี้ก็ตรงท่อนที่จังหวะเพลงเป็น Moderato Cantabile (ในส่วนของท่อนรัวเร็วในตอนต้นของเพลงที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์อย่างฉันนั้น ขอตั้งชื่อเฉพาะให้ท่อนนี้ว่า “Crazy-Impromptu” ละกัน เล่นไปเล่นมา อาจมีอาการลมปราณแตกซ่าน วิปลาสโดยไม่คาดฝันเอาได้ง่ายๆ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพลงของ Chopin ที่ฉันชอบที่สุด ก็ยังคงเป็นเพลงที่ฟังแล้วเคลิ้มอย่าง Nocturne in E-flat Major, Op. 9, No. 2 ซึ่งเพลงนี้ Chopin แต่งตอนอายุประมาณ 20 ปี เป็นเพลงที่โด่งดัง รู้จักกันอย่างแพร่หลาย (และก็เล่นยากตามสไตล์ Chopin)
6. Nahan (Ernani J. Cuenco)
เพลงนี้แต่งโดยนักแต่งเพลงชาวฟิลิปปินส์ ไม่เคยได้ยินและไม่เคยรู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่พอได้เล่นแล้วก็ชอบมากเพราะได้ประจักษ์แจ้งถึงความไพเราะของเพลงนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่กระดิกภาษาตากาล็อก เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าเนื้อเพลงกล่าวถึงอะไร แต่ถึงจะไม่เข้าใจเนื้อหาของเพลงนี้ แค่ได้ฟังทำนองเพลงก็รู้สึกเคลิ้มไปกับความนุ่มนวล ชวนฝันแล้ว นี่แหละนะ เป็นจริงอย่างที่เค้าบอกกันว่า ดนตรีเป็นภาษาสากลสำหรับมวลมนุษย์ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปเข้าใจในเนื้อหาของเพลงหรอกว่ากำลังพูดถึงอะไร แค่ “feel” ได้ถึงอารมณ์เพลงก็น่าจะฟินได้แล้ว
ระยะเวลาในการกลับมาเป็นนักเรียนเปียโนหนที่สองในชีวิตของฉัน นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในระหว่างช่วงเวลานั้น มีสิ่งที่น่าประทับใจมาก คือ การที่ฉันได้มีโอกาสไปดูการแสดงเปียโนของครู ที่จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรม เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะถือเป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ไปดูการแสดงดนตรีที่ดูเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น จำได้ว่าในครั้งนั้น พ่อกับแม่ก็ได้ไปดูด้วยกัน เพลงที่ครูเล่นและฉันยังรู้สึกประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นบทเพลงที่ฉันใช้เวลาในการสืบเสาะ ค้นหาชื่อเพลงอยู่นานมาก ตอนที่ได้ฟังครูเล่น รู้สึกเหมือนครูได้นำพาความคุ้นเคยเก่าๆ ความทรงจำในวัยเด็กของฉันกลับมาด้วย
เพลงนี้เป็นเพลงคุ้นหูที่เคยได้ยินได้ฟังในตอนเด็กเสมอ จำได้อย่างเลือนรางว่าเพลงนี้เคยเป็นเพลงประกอบรายการหนึ่ง ทางช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ แต่ด้วยความเป็นเด็ก เลยไม่ได้มีความใส่ใจมากพอที่จะจดจำชื่อเพลงที่จะต้องได้ยินในทุกอาทิตย์ (เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า อย่าได้ละเลยกับบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นความคุ้นชิน โอ๊ะ! ทำไมไปทางปรัชญาละเธอ กลับมาเถอะ คนอ่านคงเอือมแล้วนะ) หลังการแสดงจบ ฉันก็ได้ถามพ่อกับแม่ว่า พอจะรู้ชื่อเพลงนี้ที่ครูเล่นมั้ยว่าชื่ออะไร แต่ก็ไม่มีใครนึกออก
จวบจนเวลาได้ผ่านไปอีกหลายปี เพลงที่ยังนึกชื่อไม่ออกเพลงนี้ ก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ ฉันเคยกลับมาถามแม่อีกครั้ง โดยต้องเท้าความถึงการแสดงดนตรีในครั้งนั้นของครู เพื่อให้แม่สามารถนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นได้ และบอกแม่เพิ่มเติมไปด้วยว่า เป็นเพลงทำนองไทยๆ หลังจากที่แม่พยายามนั่งนึกสักพัก แม่ก็พูดขึ้นมาว่า รู้แล้ว น่าจะชื่อเพลง ต้นวรเชษฐ์ ฉันก็แสนจะดี๊ด๊า รีบไปค้นดูใน YouTube แต่ก็ต้องผิดหวังหูลู่กลับมา เพราะนั่นไม่ใช่เพลงที่กำลังตามหา
หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักในการขุดความทรงจำขึ้นมา ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงต้นเพลงของเพลงนี้จะฟังแล้วคล้ายๆ กับเพลงของวง F4 ชื่อเพลง 絕不能失去你 (อ่านว่า “Jue Bu Neng Shi Qu Ni” หรือชื่อในภาษาอังกฤษ คือ “Can’t Lose You”) มาถึงจุดนี้ เห็นทีจะต้องทำการอธิบายเพิ่มเติม เผื่อใครไม่คุ้นกับวงดนตรีวงนี้ ก็ถือซะว่าจะได้รู้จักวงดนตรีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวงก็แล้วกันนะ
F4 เป็นวงดนตรีจากประเทศไต้หวัน ที่โด่งดังเป็นอย่างมากในเมืองไทย เรียกได้ว่าดังระเบิดระเบ้อในช่วงที่ช่อง 3 นำละคร เรื่อง “รักใสใส หัวใจสี่ดวง” มาออกอากาศ (ใครเกิดทันได้ดูเวอร์ชันนี้บ้าง ถ้าพอคุ้นๆ แสดงว่าเราก็น่าจะรุ่นใกล้เคียงกันนะ 555) ยังพอจำกันได้หรือไม่ ซันไช่กับเต้าหมิงซื่อไง เล่นเอาคนกรี๊ดกร๊าดกันทั่วบ้านทั่วเมืองไปพักนึงเลยทีเดียว (และแน่นอนว่าติ่งอย่างฉันก็ไม่พลาด แต่คนโปรดของฉันกลับไม่ใช่พระเอกหรือนางเอก แต่เป็น ฮัวเจ๋อเล่ย ที่หน้านิ่งๆ ตลอดทั้งเรื่อง)
นอกเรื่องอีกตามเคย กลับมาเรื่องเพลง ท่อนที่คล้ายกันของเพลงนี้กับเพลงไทยที่ตามหา (อันนี้มันอาจจะคล้ายแค่ในความรู้สึกฉันคนเดียวก็เป็นได้) มันจะร้องว่า “Oh baby baby baby, my baby baby” แต่มันจะคล้ายกันแค่ตรงสามคำแรกเท่านั้น คือ ตรง “Oh baby baby” โอ๊ย! ทำไมมันช่างยากเย็นอะไรปานนี้ กับการพยายามนึกถึงเพลงแค่เพลงเดียว พอจะเข้าใจฉันมั้ย ถึงจะสามารถคิดทำนองออก แต่ถ้าไม่รู้ชื่อเพลงก็หาไม่เจออยู่ดีว่าคือเพลงอะไร ณ จุดนี้ ถ้าใครสามารถรู้ว่าเพลงที่ฉันกำลังตามหาคือเพลงอะไร ข้าน้อยขอคารวะ (ส่วนใครที่ไม่รู้ หรือไม่อยากอ่านแล้ว จะขอจรลีไปก่อนก็ไม่ว่ากัน)
หลังจากการนึกทำนองเพลงได้ตามความทรงจำอันจำกัดจำเขี่ยของฉัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ทราบชื่อเพลงขึ้นมาได้ ฉันเลยเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการมานั่งนึกชื่อรายการที่ฉันคุ้นๆ แทน ว่ารายการอะไรหนอที่ใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบ คิดไปคิดมา บวกกับการค้นหาจากกูรู ก็มาสะดุดที่รายการกระจกหกด้าน อารมณ์ประมาณเหมือนจะได้พบคนที่ใช่ แต่มันก็ยังไม่ใช่ พอค้นไปค้นมาเรื่อยๆ ก็มาเจอกับอีกรายการหนึ่ง คือ รายการชีพจรลงเท้า พอลองกด search ดู และแล้วก็โป๊ะเชะ! Bingo! ใช่เลย ในที่สุด ฉันก็ได้รู้ว่าเพลงที่ตามหามานานนี้ มีชื่อเดียวกับชื่อรายการเลย ชื่อเพลง ชีพจรลงเท้า ผู้ประพันธ์คือ อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล นักดนตรี นักประพันธ์เพลงที่มีความสามารถด้านดนตรีเป็นที่น่าชื่นชมคนหนึ่งของเมืองไทย
อ่านมาถึงตรงนี้ อาจมีคำถามจากเด็กยุคนี้ว่า อาจารย์ดนู คือใครกัน เลยอยากถือโอกาสนี้แนะนำให้เด็กๆ รุ่นใหม่ (ใหม่กว่าฉัน ขอใช้คำนี้ละกันนะ เพื่อให้ความสะเทือนใจในความมีอายุของตัวเองลดลงนิดนึง) และคนที่ยังไม่รู้จักท่าน ได้ทำความรู้จักกับนักประพันธ์เพลงมากความสามารถชาวไทยท่านนี้กันสักหน่อย
อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล เป็นผู้ก่อตั้งวงดนตรีเครื่องสายชื่อวงไหมไทย บอกชื่อวงไปแล้วบางคนก็อาจจะยังไม่คุ้นถ้าไม่ใช่คอเพลงแนวนี้ เอาเป็นว่าขอแนะนำให้ไปลองฟังเพลงที่ทำให้ฉันรู้จักอาจารย์ดนูเป็นครั้งแรกก็แล้วกัน ชื่อเพลง “ไอ้หนุ่มผมยาว” เพลงนี้อาจารย์เป็นผู้ประพันธ์ทั้งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงเองทั้งหมด ขับร้องโดยคุณสุรชัย สมบัติเจริญ แนวเพลงจะฟังแล้วดูย้อนยุค แต่ไม่เชยนะ เพลงนี้ถือเป็นหนึ่งในเพลงดังสำหรับพวกที่เริ่มจะเข้าสู่ยุคกลางอย่างฉัน (กลาง คือ วัยกลางคน โวะ! แกจะตอกย้ำความแก่ของตัวเองไปเพื่ออะไรกัน) คนยุคกลางน่าจะเคยรู้จักหรือเคยผ่านหูกับเพลงนี้ เพราะเป็นอะไรที่ติดหูกับท่อน “เพียงเจอไอ้หนุ่มผมยาว น้องสาวก็ลืมพี่หมดสิ้น” ท่อนที่ฉันชอบมาก มีเนื้อร้องว่า “อกพี่ร้าวดังลูกมะพร้าวตกดิน” (มันให้ความรู้สึกอินไปกับเพลงจนเหมือนจะได้ยินเสียง “โพละ” ของลูกมะพร้าวที่ตกดินเลย) พร้อมกับการคร่ำครวญตามมาว่า “โฮ โฮ้โห่โฮ้โฮ โฮโห่ โฮ้โห่โฮ้โฮ โฮโห่ เจ้าศิลปินผมยาว” 555 ได้อารมณ์มาก ชอบจริงๆ เลยเพลงนี้ โดนตั้งแต่เสียงดนตรีตอนเพลงขึ้นมาแล้ว
มาต่อกันที่เพลงชีพจรลงเท้าของอาจารย์ดนู เมื่อในที่สุด ฟ้าเมตตา ให้ฉันได้รู้ชื่อเพลงนี้ซะที แน่นอนว่าฉันต้องดีใจสุดขีด เข้าใจมะ อารมณ์จะเหมือนประมาณการตามหาการ์ตูนเล่มที่อยากอ่านมานานมาก แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ จำได้แต่หน้าปกคร่าวๆ ไปหาที่ร้านไหนก็ไม่เจอซะที แล้ววันหนึ่งที่เหมือนฟ้ามาโปรด ก็ได้เจอการ์ตูนเล่มนี้ บอกได้คำเดียวว่า ฟินจนไม่มีอะไรจะมาเทียบได้ (เอิ่ม! นี่มันเกินคำเดียวไปเยอะเลยนะแก)
ซึ่งความยุ่งยากทั้งหมดนี้ มันจะไม่เกิดขึ้นเลย เพียงแค่ฉันนึกได้ว่า สามารถถามเอากับครูได้นี่นา (แหม! กว่าแกจะคิดได้ มันผ่านมากี่ปีแล้วละนี่) ด้วยความอุตสาหะไม่ย่อท้อในทางที่ผิดของฉันนี้ ทำให้เวลาที่ฉันคิดถึงเพลงชีพจรลงเท้า และเปิดเพลงนี้ฟังครั้งใด จะต้องนึกถึงครูท่านนี้ไปด้วยในทุกครั้งเหมือนอะไรที่มาคู่กันเสมอ คิดถึงท่วงท่าอันสง่างามในยามที่ครูทำการแสดงดนตรีให้ผู้ชมฟัง คิดถึงความนุ่มนวลในการพรมนิ้วมือเพื่อบรรเลงบทเพลงอันแสนไพเราะจับใจ ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดี น่าประทับใจแบบไม่มีวันลืมเลือนที่ฉันได้รับจากคุณครูท่านนี้
ปัจจุบันนี้ ฉันยังคงติดต่อกับคุณครูท่านนี้อยู่ สำหรับฉันแล้ว นอกเหนือไปจากการให้ความรู้ในด้านดนตรี ครูยังเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ดี เป็นหนึ่งในกำลังใจสำคัญยามที่ฉันอยู่ห่างไกลบ้าน เพราะครูเป็นบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ฉันยังใช้วิธีติดต่อกันโดยการเขียนจดหมาย (จดหมายในที่นี้ หมายถึง การเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยลายมือของฉันเองลงในกระดาษเขียนจดหมายลายสวยๆ ที่ผ่านการเลือกเฟ้นมาอย่างดีแล้ว ติดสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ลงไปในกระดาษบ้างในบางครั้ง เขียนเสร็จเรียบร้อยก็ใส่ซอง ติดแสตมป์ แล้วส่งทางไปรษณีย์จริงๆ ไม่ใช่ email หรือ message ที่ใช้วิธีพิมพ์จากคอมพิวเตอร์หรือจิ้มแป้นรัวๆ ในมือถือ)
เมื่อใดที่ได้นัดพบเจอกันกับครู เพื่อพูดคุย ไถ่ถามทุกข์สุข บอกเล่าเรื่องราว เล่าสู่กันฟัง ฉันจะมีความสุขทุกครั้ง รู้สึกว่าฉันช่างโชคดีที่ได้พบและรู้จักครูท่านนี้ ดีใจมากที่ครั้งหนึ่งเคยได้นั่งเรียนเปียโนที่บ้านครู อยากขอบคุณครูมากสำหรับความรู้ คำสั่งสอน คำแนะนำ กำลังใจที่ได้รับมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ขอบคุณนะคะ คุณครู
I still remember what I had written in the letter I gave you before I went studying ages ago. You are my inspiration, and this time I’d like to add “always and forever”.
Sourceภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels
Comments
Post a Comment