I am very excited to share my very first post to you all. Originally, I posted it somewhere else and did not expect it would interest anyone. I was surprised that I received positive feedback from my writing.
After weighing up the pros and cons of sharing stories, I decide to start a blog for recording memorable events, important thoughts, and meaningful things.
This post is about one of my favorite songs of all time. Hope you enjoy reading it as much as I enjoy writing it.
เคยมั้ย เวลาที่ฟังเพลงๆ นึง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังรู้สึกว่ามันเพราะ ฉันเชื่อว่าทุกคนน่าจะมีเพลงที่ว่าอยู่ในใจเช่นกัน (ตอนนี้บางคนอาจจะกำลังนึกถึงเพลงนั้นอยู่) สำหรับฉันแล้ว หนึ่งในเพลงที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ว่านี้ คือ Stuck in a Moment You Can’t Get Out Of
เพลงที่มีชื่อยาวเกินปกตินี้ เป็นเพลงของวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่วงหนึ่งของโลก นั่นคือ U2 วงร็อคสัญชาติไอริช ที่สมาชิกแต่ละคนเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกัน และร่วมกันก่อตั้งวงดนตรีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
U2 เป็นหนึ่งในวงโปรดยาวนานของฉัน ชอบมานานมาก เพราะการได้ฟังเพลงของวงนี้ สำหรับฉันถือว่าเป็นอะไรที่สามารถช่วยเยียวยาจิตวิญญาณ เสียงของ Bono นักร้องนำ เสียงประสานและเสียงกีตาร์ของ The Edge รวมทั้งเสียงเบสของ Adam มือเบสตัวสูงหน้านิ่ง และจังหวะกลองจาก Larry มือกลอง ผู้ที่ฉันมักจะโฟกัสสายตาไปที่ตุ้มหูที่แกว่งไกวไปตามจังหวะการตีกลอง (เสริมนิดนึงว่า 2 รายหลังนี้ เป็นผู้รีเมค theme ประกอบเรื่อง Mission Impossible นั่นเอง)
กลับมาเรื่องเพลงชื่อยาวๆ เพลงนี้ สาเหตุเริ่มแรกที่ทำให้ฉันติดใจ เป็นเพราะเนื้อร้องที่ฟังแล้วโดนใจ สะท้านสะเทือน บวกกับเสียงร้อง เสียงประสาน จังหวะกลอง+กีต้าร์+เบส ฟังแล้วมันใช่ โดยไม่ต้องมีรางวัล Grammy ที่เพลงนี้ได้มา เป็นหนึ่งในเหตุผลในการชอบ
ในสมัยโน้น (ขยายความว่า “สมัยโน้น” หมายถึง ในยุคที่ iTunes ยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย, YouTube ก็ยังไม่ได้รับการแนะนำออกสู่สายตาชาวโลก, Spotify และ Joox น่ะเหรอ ลืมไปได้เลย ยังดูห่างไกลมนุษย์อย่างเราๆ ไปอีกหลายล้านปีแสง) การจะได้ฟังเพลงนี้ ต้องหาฟังตามสถานีวิทยุที่เปิดเพลงสากล (ทำไมรู้สึกว่าเมื่อก่อนมันต้องอาศัยจังหวะและโชคช่วยยังไงอยู่) อย่ากระนั้นเลย เมื่อมันไม่สามารถสนอง need ได้เพียงพอ ฉันก็ต้องบากบั่นไปเดินหาซื้อแผ่น CD มาเปิดฟังวนไปให้สาแก่ใจ
เมื่อได้ฟังเพลง ก็จะอยากดู MV ซึ่งการหาดู MV ก็ยังคงขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาเช่นเดียวกัน เพราะจะหาดูได้จากรายการเพลงอย่าง MTV และ Channel [V] เวลา VJ เปิดเพลงนี้เมื่อไหร่ ขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ เป็นต้องทำการ pause ตัวเองและตั้งหน้าตั้งตาดูไปจนจบเพลงราวกับโดนสะกดจิต
ตัวเรื่องราวของ MV เริ่มจากการที่ Bono ถูกอัญเชิญให้ลงจากแวนแบบฮาร์ดคอร์ จากนั้นผู้กำกับก็จะเล่นกับมุมกล้องแบบไม่ ergonomic กับคนดู มาหมดทั้งแนวตั้ง แนวนอน แนวทแยง หมุน 360° จนฉันอยาก rotate ภาพเพื่อให้เกิด viewer-friendly ขึ้นบ้าง
ภาพที่ Bono กระเด็นจากแวนแล้วลงมานอนจะมาแบบวนลูปมาก อารมณ์ประมาณเราเล่นดนตรีแล้วเห็นคำว่า D.C. al Coda แต่ไม่เห็น Coda ตัวที่สองซะที ดูไปก็มึนๆ นะ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉันดูจนจบเพลงก็ได้ เพราะด้วยความอยากรู้ว่า Coda ตัวที่สองจะมาตอนไหนฟระ ซึ่งพอได้รับรู้ถึงที่มาในการแต่งเพลงนี้ ก็อาจทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่าทำไมดู MV นี้แล้ว ถึงให้ความรู้สึกแบบกำลังใช้ชีวิตวนไปค่ะเยี่ยงนี้ (ฉันเชื่อว่าใครก็ตามที่สามารถทนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ได้ คนผู้นั้นน่าจะมีความวิริยะอุตสาหะมากพอจนอาจจะไปสืบหาถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ของ Bono)
เพลงนี้ฉันชอบทั้งเพลงตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ท่อนที่ชอบเป็นพิเศษ คือ bridge ที่เป็น scale ไล่จากต่ำไปสูง อารมณ์มันจะค่อยๆ พีคขึ้นเรื่อยๆ อีกท่อนที่ชอบ คือ outro ที่ได้เสียงประสานจาก The Edge บวกกับเนื้อร้องที่ฟังแล้วตราตรึง และช่วง outro นี่แหละ ที่ใน MV สามารถตอบคำถามคาใจของฉันได้ว่า Bono จะค้นพบ Coda ตัวที่สองหรือไม่
จริงๆ แล้วเพลงของ U2 มีที่โดนใจอยู่หลายเพลง ถ้าลิสต์ออกมา น่าจะเป็นเพลงที่ฟังแล้วทำให้ฉันเชื่อมโยงไปถึง บุคคล, สถานที่, หรือช่วงเวลาน่าประทับใจ เพลงที่โดดเด่นในความทรงจำของฉันก็จะมีตามรายนามด้านล่างนี้
1. Beautiful Day
เพลงนี้ฟังแล้วจะต้องนึกย้อนไปถึงวันอันสดใสในปี 2001 ของ Goran ณ Centre Court
2. Walk On
เพลงนี้นึกถึง Rio (ได้ดู MV แล้วจะเข้าใจ) สำหรับฉัน เวลาที่กรุงเทพอากาศร้อนมากๆ ฉันจะใช้ท่อน “Oh no, be strong.” ปลอบใจตัวเอง
3. Elevation
นี่เป็นเพลงส่วนน้อยที่ฉันชอบแบบ remix ที่เป็น single version มากกว่า album version ซึ่งแบบ remix นี้ น่าจะเป็นที่รู้จักมากกว่า เพราะเป็น soundtrack ประกอบเรื่อง Lara Croft: Tomb Raider (แอบนอกเรื่องว่า พอพูดถึง Lara Croft ภาคนี้ ทำให้นึกถึง William Blake ตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ ถ้าใครได้ดูหนังและชอบบทกลอน น่าจะพอนึกออกว่าเพราะอะไร)
4. With or Without You
ได้ยินทีไร จะนึกไปถึงหญิงสาวชาวเอเชียผู้โชคดีคนนั้น ที่ Boston ในปี 2001 ทุกครั้งไป
5. One
ที่มาของการรู้จักเพลงนี้ตลกมาก เพราะรู้จักเพลงนี้จากรายการแข่งขันร้องเพลงรายการหนึ่ง ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งใช้เพลงของ Kings of Leon มาร้องในรอบออดิชั่น แต่ฉันดันไปติดใจเพลงของ U2 เพลงนี้ที่ทางรายการใช้ในการเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันรายนี้
6. The Troubles
ออกมาในปี 2014 ชอบเสียงร้องของ Lykke Li นักร้องชาวสวีดิชที่มาร่วมร้อง เธอร้องวนไปวนมาด้วยประโยคเดิมๆ แต่ถือว่าเป็นลักษณะอาการ OCD ที่ฟังแล้วเพราะนะ
7. You're the Best Thing About Me
เพลงจากอัลบั้มล่าสุดในปี 2017 ดู MV เพลงนี้แล้ว รู้สึกเหมือนกำลังดู MV Sugar - Maroon 5 ผสม Perfect – One Direction (พูดถึง 1D มีใครเห็น Harry แล้วนึกถึง Mick Jagger เหมือนฉันบ้าง)
แล้วเหตุใดการลิสต์รายชื่อเพลง U2 ของฉัน ถึงจบลงด้วย 1D!!! เหอะๆ wrong direction สินะ
มาคิดดูแล้ว เวลา 20 ปีที่ได้รู้จักและฟังเพลงของ U2 ก็ดูยาวนานอยู่นะ แต่มันก็คงเหมือนกับชื่ออัลบั้มโปรดในใจฉันแหละ ก็เพราะมันเป็น All That You Can’t Leave Behind ไง
ป.ล. โปรดข้ามประเด็นที่ว่า ถ้ารู้จักวงนี้มาเป็นเวลา 20 yrs and counting ก็นับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสไปละกันนะ หวังว่าคน (หลงเข้ามา) อ่าน คงทำเป็นลืมๆ ประเด็นนี้ไปบ้างไม่มากก็น้อย 555
Source
ภาพประกอบ: Photo by Lucas Allmann from Pexels
Source
ภาพประกอบ: Photo by Lucas Allmann from Pexels
Comments
Post a Comment